สมุนไพรจีนอย่าง “ถั่งเช่า” นั้นดังเป็นพลุแตก แต่ด้วยสนนราคากิโลกรัมละ 200,000-400,000 บาท จึงทำให้คนไทยเดินดินอย่างเราๆ ไม่มีปัญญาหาถั่งเช่ามารับประทาน
อันที่จริง สมุนไพร 2 ชีวิตกึ่งหนอนกึ่งเห็ดตัวนี้ ก็ไม่ได้มีสรรพคุณอะไรมากไปกว่าการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และช่วยควบคุมไขมันในเลือดให้สมดุล แต่เนื่องจากการไหลเวียนโลหิตกระจายไปหล่อเลี้ยงเส้นเลือดฝอยที่อวัยวะเพศเพิ่มขึ้นด้วย จึงช่วยให้เกิดอานิสงส์เหมือนกินไวอะกร้า
ขณะนี้มีข่าวดีว่ากระทรวงสาธารณสุขไทยกำลังเพาะถั่งเช่าได้เอง โดยใช้ดักแด้ของตัวไหมไทยเลี้ยงสปอร์ของเห็ดถั่งเช่าจีนในอุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส ราคาน่าจะพอหยิบจับเข้าปากประชาชนทั่วไปได้
คราวนี้ขอนำเสนอสมุนไพรภูมิปัญญาอีสาน-ล้านนาขนานแท้คือ “ปูนา”
คนส่วนใหญ่คุ้นเคยแต่สมุนไพรที่เป็นพืชวัตถุ จนลืมไปว่าสมุนไพรไทยที่เป็นสัตว์วัตถุก็มีอยู่มากมายที่รู้จักกันดีคือ สัตตเขา หรือเขาสัตว์ 7 อย่าง เช่น เขากวางอ่อน เป็นต้น หรือเนาวเขี้ยว คือ เขี้ยว 9 อย่าง เช่น เขี้ยวหมูป่า และปูนา ก็เป็นสมุนไพรจำพวกสัตว์วัตถุอย่างหนึ่งซึ่งมีรสเย็น ดับพิษร้อน ลดการอักเสบเหมือนสัตตเขา เนาวเขี้ยว ดังกล่าว
ที่สำคัญ ปูนายังมีสรรพคุณกระจายโลหิต แก้ช้ำใน บำรุงกำลัง และฤทธิ์กระจายโลหิตของปูนาก็เหมือนฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตของถั่งเช่า และเขากวาง คือช่วยให้โลหิตไปหล่อเลี้ยงที่อวัยวะเพศมากขึ้น จึงช่วยแก้สมรรถภาพทางเพศเสื่อมได้เช่นกัน
Advertisement
ยิ่งไปกว่านั้น กระดองปูหรือเปลือกหุ้มตัวปูนาทั้งหมดก็เป็นไคโตซาน (kitosan) ซึ่งมีสารไคตินที่มีฤทธิ์ช่วยย่อยสลายแป้ง และเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงานจนไม่มีเหลือเป็นขอบชีต หรือสะสมตามหน้าท้อง ต้นขา
ผลก็คือนอกจากช่วยลดพุง มีกล้ามเนื้อกระชับทุกสัดส่วนแล้ว ยังช่วยขจัดไขมันที่พอกตับ และควบคุมไขมันในเลือดไม่ให้สูงเกินไป สารไคตินยังเป็นเจลที่ช่วยระบายไขมันลงคูถทวาร (ไขมันลงไปลำไส้ใหญ่แล้วขับออกทางอุจจาระ) ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเส้นใยอาหารธรรมดา
กระจายโลหิต บำรุงกำลัง และช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ไม่แพ้ถั่งเช่า แถมปูนาที่เอามาทำปูเค็ม ปูดอง หรือปูหลน สนนราคาเพียงกิโลกรัมละ 200-300 บาทเท่านั้น นี่แหละคือภูมิปัญญาอาหารและยาของอีสาน-ล้านนาที่สืบทอดมานับพันปีหรือในตำรับยากวาดแผนโบราณที่ชื่อเจียระไนเพชร ก็ยังมีกระดองปูนาและกระดองปูทะเลอยู่ในสูตรยาที่ใช้กวาดคอเด็ก แก้ทรางกระแนะ ซึ่งเป็นอาการไข้พิษตัวร้อนจัด ลิ้นกระด้าง คางแข็ง ดูดนมไม่ได้
แต่ตำรับยาปูนาที่ช่วยให้คนอีสานและชาวเหนืออยู่ดีมีแฮงนั้นมาในรูปของเมนูแซ่บเว่อร์ส้มตำปู หรือน้ำพริกหลนปูนานั่นเองหรือในอาหารพื้นบ้านภาคเหนือ ยังจับปูนามาเอาแต่น้ำปู ทำเป็นเครื่องชูรส รสอร่อยล้ำ เช่น น้ำปูใส่ในยำหน่อไม้ แกงหน่อไม้ ในเมื่อปูตัวเล็กๆ มีสรรพคุณเด็ดขนาดนี้ จึงน่าจะพัฒนาสูตรอาหารปูนาให้หลากหลาย ถูกปากคนทุกเพศทุกวัย เช่น ปูนาชุบแป้งทอด ผัดกะเพราปูนา หรือผัดผงกะหรี่ปูนากรอบ เป็นต้น
ที่ต้องห่วงใยเมื่อปูนาเป็นปูน้ำจืดชอบใช้ชีวิตในนาข้าว แต่เมื่อเกษตรส่วนใหญ่เห็นปูนาเป็นศัตรูข้าวก็เร่งกำจัดและใช้สารเคมีอันตราย ปูนาบางส่วนอาจปนเปื้อนและก็มีจำนวนลดน้อยลง จึงได้เกิดอาชีพเลี้ยงปูนาขึ้น ต่อไปอาจมีเมนู “ปูนาถั่งเช่า” จับเอากระแสการบ้านการเมืองไปใช้ก็ได้
แต่ถ้าไม่เว่อร์เกินไป แค่เมนูอร่อยพื้นบ้านไทยก็มีคนต้องการกินปูนากันมากพอแล้ว ช่วงฝนนี้เป็นฤดูปูนาเริงร่า จะผสมพันธุ์ ปูตัวเมีย 1 ตัว วางไข่ออกลูกได้ราว 500 ตัวเลย ใช้เวลาโตประมาณ 6-7 เดือน
นักชิมบอกว่า ปูนารสอร่อยสุดต้องเป็นช่วงหน้าหนาว น่าจะกำลังโตเต็มที่และน่าจะมีสรรพคุณดี
สำหรับคนที่มีปัญหาสมรรถภาพทางเพศเสื่อม หรืออยู่ไม่ดีไม่มีแฮงไม่ต้องวิตกอีกต่อไปว่า ไม่มีเงินซื้อถั่งเช่าหรือยาราคาแพง เพราะเมนูปูนา คือคำตอบ หาง่าย ราคาถูกที่ช่วยสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพให้คนไทยทุกชั้นชน