ค้นหา

“FlexiFarm” ต้นแบบ “ฟาร์มสำเร็จ” กับโมเดลธุรกิจคอนเทนเนอร์ฟาร์ม นวัตกรรมการปลูกผักสด

คุณยุทธพงษ์ เผ่าจินดา
เข้าชม 23 ครั้ง

นักวิจัย/เจ้าของนวัตกรรม/เจ้าของข้อมูล :
คุณยุทธพงษ์ เผ่าจินดา

ที่มา ข้อมูลเบื้องต้น :  สถานการณ์ความเป็นอยู่ของเราในปัจจุบันมีความท้าทายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงคราม สภาพเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ โรคระบาด และมลภาวะที่ส่งผลกระทบต่อปัจจัย 4 โดยเฉพาะเรื่องของอาหารการกิน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญ ด้วยเหตุนี้ FlexiFarm จึงถือกำเนิดขึ้น ด้วยความมุ่งหวังที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในยุคปัจจุบันให้ดีขึ้น ส่งเสริมความมั่นคงทางด้านอาหาร รับมือกับผลกระทบและทลายข้อจำกัดต่างๆ ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอาหารที่ดี มีคุณภาพ สะดวกสบายและปลอดภัยได้ อีกทั้งยังเป็นโมเดลธุรกิจการปลูกผักที่ดี ในอนาคต ภายใต้โซลูชัน “คอนเทนเนอร์ฟาร์ม” ซึ่งเป็นการปลูกผักในตู้คอนเทนเนอร์

ความสำคัญของปัญหา : ผักที่ปลูกโดยทั่วไป มักพบปัญหาเรื่องความสดสะอาด การเก็บรักษา สภาพสิ่งแวดล้อมและมลภาวะจากภายนอก อาทิ ฝุ่น ควัน ฝนกรด แมลงรบกวน มีพยาธิและเชื้อรา จึงมีการใช้ยาฆ่าแมลงเพื่อลดปัญหาศัตรูพืช หรือปัญหาจากผลกระทบจากภัยพิบัติภายนอกที่จะทำให้พืชผลเสียหายได้ เช่น น้ำท่วม ดินถล่ม และความผันผวนของสภาพดินฟ้าอากาศ ทำให้ไม่ได้รับผลผลิตจากผักที่เต็มเปี่ยมคุณค่าทางโภชนาการ

จุดเด่นนวัตกรรม :
FlexiFarm มีแนวคิดและจุดเด่นสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิต 5 ด้านหลัก ได้แก่ สร้างเสริมสุขภาพ (Better Health) ผักจาก FlexiFarm มีความสด สะอาด และปลอดภัย เนื่องจากเป็นการปลูกในระบบปิด ซึ่งเป็นการตัดขาดจากสิ่งแวดล้อมและมลภาวะภายนอก จึงไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลง มีการควบคุมกระบวนการปลูกทั้งอุณหภูมิ น้ำ อากาศ และแร่ธาตุตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ผักเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เหมาะสำหรับผู้รักสุขภาพ อีกทั้งยังมีรสชาติที่ดีอีกด้วย สร้างเสริมความมั่นคงทางอาหาร (Better Food Security) การปลูกผักในระบบปิดทำให้สามารถคำนวณปริมาณผลผลิตที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ ซึ่งปลูกผักได้ผลผลิตสม่ำเสมอตลอดทั้งปี เพราะไม่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติภายนอกที่จะทำให้พืชผลเสียหายได้ เช่น น้ำท่วม ดินถล่ม และสภาพดินฟ้าอากาศ อีกทั้งช่วยลดโอกาสการเน่าเสียจากแบคทีเรียในกระบวนการปลูกและเก็บเกี่ยวได้ ทำให้ผักเก็บได้นานขึ้น สร้างเสริมสภาพแวดล้อมที่ดี (Better Environment) ด้วยปริมาณการใช้น้ำที่น้อยกว่าการปลูกผักแบบดั้งเดิมถึง 95 เปอร์เซ็นต์ และใช้พื้นที่การปลูกผักน้อยกว่าเดิม ทั้งนี้จะมีผักที่ปลูกไว้บริโภคได้ในทุกสถานการณ์ตลอดทั้งปี

การปลูกผักในคอนเทนเนอร์ฟาร์มของ FlexiFarm นอกจากจะได้ผลผลิตเป็นเสบียงที่เก็บได้ใกล้ตัว เพราะสามารถยกไปตั้งใจกลางเมืองหรือแหล่งชุมชนได้ สามารถต่อยอดของตลาดอย่างต่อเนื่อง บวกกับโมเดลการบริหารจัดการที่ไม่ต้องอิงสภาพอากาศหรือปัจจัยภายนอกจึงทำให้ผู้ปลูกผักสามารถคาดการณ์ผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ได้ ลดปริมาณใช้น้ำและประหยัดเวลาที่ใช้ล้างผัก ทั้งยังใช้สมาร์ทเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการช่วยควบคุมดูแลผักได้จากทุกที่ทุกเวลา โดยควบคุมกระบวนการทุกอย่างได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส อาทิ สั่งเปิด-ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าแบบอัตโนมัติผ่านมือถือ ไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟ LED พัดลม แอร์, ตั้งเวลาเปิด-ปิดล่วงหน้า, ตรวจสอบและปรับเปลี่ยนอุณหภูมิความชื้น ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์แบบเรียลไทม์ ตลอดจนสั่งควบคุมการให้น้ำและปุ๋ยให้เหมาะสมกับสภาวะของพืช จึงเป็นลักษณะธุรกิจที่เอื้อต่อการจัดสรรเวลาให้สมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน

นอกจากนี้ ตัวตู้ยังถูกออกแบบให้สามารถปลูกผักได้เต็มศักยภาพของพื้นที่ มีการจัดวางจำนวนชั้นปลูกที่เหมาะสม เพื่อผลผลิตที่มากที่สุดต่อ 1 ตู้ โดยตู้มีขนาดกว้าง 2.5 เมตร ยาว 12 เมตร สูง 2.8 เมตร สามารถติดตั้งได้แม้ในบริเวณที่มีพื้นที่จำกัดและหากต้องการผลผลิตที่มากขึ้น ก็สามารถซ้อนตู้กันได้โดยไม่ต้องใช้พื้นที่เพิ่มขึ้น

ข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามที่ :
คุณยุทธพงษ์ เผ่าจินดา
https://flexifarmtech.com/ และhttps://www.facebook.com/flexifarmtech/

แชร์ :
ที่มาของเนื้อหา : https://www.technologychaoban.com/bullet-news-today/article_248482