สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) วิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรไตรมาส 2 ของปี 2565 (เม.ย.–มิ.ย.) พบว่าขยายตัวร้อยละ 5.7 จากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 4.1
ปัจจัยสำคัญมาจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติมีเพียงพอ ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดอยู่ในเกณฑ์ดี
สาขาพืชมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากถึงร้อยละ 9.3 สินค้าพืชที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวนาปรัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้อยโรงงาน ลำไย ทุเรียน เงาะ สินค้าพืชที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่ ข้าวนาปี มันสำปะหลัง สับปะรดโรงงาน ยางพารา ปาล์มน้ำมัน
สาขาปศุสัตว์หดตัวร้อยละ 2.2 เนื่องจากเกษตรกรยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์โรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร (ASF) ประกอบกับต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกษตรกรลดปริมาณการเลี้ยงสุกร ไก่เนื้อ มีการขยายการผลิตรองรับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ไข่ไก่ มีผลผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง น้ำนมดิบ เกษตรกรดูแลเอาใจใส่สุขภาพของแม่โคเป็นอย่างดีและแม่โคมีอัตราการให้น้ำนมเพิ่มขึ้น
สาขาประมงหดตัวร้อยละ 2.7 สัตว์น้ำขึ้นท่าเทียบเรือลดลง เนื่องจากมีมรสุมเข้ามาต่อเนื่องและราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น กุ้งทะเลเพาะเลี้ยง มีปริมาณลดลง เนื่องจากมีการระบาดของโรคอย่างไรก็ตาม ปลานิลและปลาดุกมีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเลี้ยงจากปริมาณน้ำฝนที่มีมากกว่าปีที่ผ่านมาสาขาบริการทางการเกษตรขยายตัวร้อยละ 4.2 โดยกิจกรรมการเตรียมดินเพิ่มขึ้นตามการเพาะปลูกพืชสำคัญ ได้แก่ ข้าวนาปี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าวนาปรัง
สาขาป่าไม้ขยายตัวร้อยละ 2.0 ไม้ยูคาลิปตัสยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด ไม้ยางพาราลดลงตามพื้นที่การตัดโค่นสวนยางพาราเก่าเพื่อปลูกทดแทน ประกอบกับราคายางปรับตัวเพิ่มขึ้น เกษตรกรตัดโค่นไม้ยางพาราลดลง
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรในปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2.4-3.4 ทุกสาขาการผลิตมีแนวโน้มขยายตัว เนื่องจากฝนที่ตกต่อเนื่อง แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากความแปรปรวนของสภาพอากาศภาวะฝนทิ้งช่วงในบางพื้นที่ และพายุฝนที่อาจรุนแรงมากขึ้น ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น.