ค้นหา

ฟันธงเทรนด์อาหารแห่งอนาคต “ไข่ผำ-จิ้งหรีด” ซุเปอร์ฟู้ดจากธรรมชาติ เติบโตสดใส

กรมประมง
เข้าชม 1,139 ครั้ง

เก็บตกสาระดีๆ จากเวทีงานสัมมนายิ่งใหญ่แห่งปี “ไข่ผำ-จิ้งหรีด” ตัวแทนพืชและแมลง โปรตีนแห่งอนาคต ซุเปอร์ฟู้ดจากธรรมชาติ แหล่งอาหารชั้นดี สามารถสร้างอาชีพและทำรายได้ให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงได้อย่างมหาศาล ที่จัดโดยกรมประมง และนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน

คุณเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง เปิดเวทีด้วย Special Talk ในหัวข้อ “ซุปเปอร์ฟู้ดจากธรรมชาติ อาหารแห่งอนาคต” กล่าวว่า   ประชากรเกือบ 193 ล้านคน ใน 53 ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาความไม่มั่นคง ด้านอาหารอย่างเฉียบพลัน จากภาวะสงคราม สภาวะโลกร้อน (Global Warming ) ทำให้เกิดวิกฤตอาหารโลก   “อาหารแห่งอนาคต” เป็นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาสร้างแหล่งอาหารใหม่ที่สามารถเพิ่มผลผลิตได้เร็วกว่า ใช้พื้นที่เพาะเลี้ยงน้อยกว่า เป็น “เทรนด์อาหาร” ของอาหารโลกที่ต่อยอดกระบวนการผลิตอาหารแบบเดิม ตอบโจทย์การลดสภาวะโลกร้อนไปพร้อมกับสร้างระบบอาหารที่เน้นคุณค่าทางโภชนาการสูง เปิดโอกาสแตะเงินล้านธุรกิจอาหารแห่งอนาคต(Future Food) ที่ดีต่อใจ – ดีต่อสุขภาพ – ดีต่อโลก

อาหารแห่งอนาคต(Future Food) ส่วนใหญ่มาจากพืชเป็นหลัก ทานน้อย แต่ได้มาก มีสารอาหารหลากหลายเข้มข้นในปริมาณมาก ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพแต่ปริมาณแคลอรี่ต่ำ มีพฤกษเคมี มีสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants)  ป้องกันการเกิดโรคหลายชนิด อาทิเช่น โรคมะเร็ง โรคจากการอักเสบเรื้อรัง การทาน “ซุปเปอร์ฟู้ด” ให้ได้ผลมากที่สุด คือ การทานหลากหลายชนิด สับเปลี่ยนกันไปร่วมกับอาหารที่ดีต่อสุขภาพอื่นๆ ให้มีความสมดุล และพอเหมาะกับความต้องการของร่างกาย มีการศึกษา พบว่า การทานอาหารแบบแพลนท์เบสและอาหารแบบเมดิเตอเรเนียน ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจในการลดความเสี่ยงการเป็นโรคเรื้อรังหลายชนิด โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และมะเร็งบางชนิด

ทั้งนี้ อาหารแห่งอนาคต (Future Food Policy)เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  เพื่อสร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศไทย ตลอดห่วงโซ่เกษตรและอาหาร เป็นการตอบโจทย์ผู้บริโภคทั่วโลกในยุค New Normal  กรมประมงส่งเสริมการผลิต “  ผำหรือไข่น้ำ (Wolffia)  ”เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ ที่ล้ำค่ามีฉายาว่า “คาเวียร์เขียว” (Green Caviar) ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นสุดยอด Super Food ของอาหารแห่งอนาคต

ผำหรือ ไข่น้ำเป็นพืชน้ำ พบได้ทั่วไปในแหล่งน้ำธรรมชาติที่ไม่มีน้ำไหลเวียน ก่อนนำไปปรุงอาหารต้องล้างให้สะอาดเสมอ ผำถูกนำมาประกอบอาหารตั้งแต่สมัยโบราณ เช่น แกง หรือผัด บางทีก็ใส่เป็นส่วนประกอบของอาหาร เพื่อเพิ่มรสชาติให้มีความหอม มัน อร่อย มากยิ่งขึ้น เหตุผลหลักที่ทำให้ผำกลายเป็นSuper Food คือ มีวิตามินแร่ธาตุมีโภชนาการครบถ้วนสูงมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก  โดยให้ปริมาณโปรตีน 40% ผำ 100 กรัมให้พลังงานต่อร่างกายของน้ำหนักแห้ง 8 กิโลแคลอรี

เดินหน้าต่อด้วยสาระแบบจัดเต็มในเวทีเสวนา ดำเนินรายการโดย คุณ จันทร์ปรียา ฉัตรทอง พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ เกษตรกรมืออาชีพ ด้านการเพาะเลี้ยงไข่ผำ – จิ้งหรีด อาหารแห่งอนาคต สร้างรายได้

ดร.สมบัติ สิงห์สี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดอุดรธานี (ศพจ.อุดรธานี ) กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด กรมประมง  กล่าวบนเวทีในหัวข้อ “การเพาะเลี้ยงไข่ผำ สร้างรายได้” กล่าวว่า   ไข่ผำหรือ  ไข่น้ำ เป็นพืชดั่งเดิมที่มีในประเทศไทย โดยไข่ผำมีมากถึง 37 ชนิด ในประเทศไทยส่วนใหญ่จะพบชนิด W. arrhiza และ W. globosa ขนาดจะเล็กกว่าชนิดแรก การสืบพันธุ์ของไข่ผำมี 2 แบบ คือ 1.การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ใช้เวลานานและคุณสมบัติของน้ำมีความเหมาะสม 2.การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ ใช้วิธีแตกหน่อให้ต้นใหม่  ด้านคุณค่าทางโภชนาการ ไข่ผำมีสารอาหารประเภทเบต้าแคโรทีน สารประกอบฟินอลิคมีคุณสมบัติในการต้านออกซิเดชัน ต้านการตายของเซลล์ ต้านสารก่อมะเร็ง

ดร.สมบัติ สิงห์สี

การเพาะเลี้ยงไข่ผำ ของเกษตรกรในภาคอีสาน พบว่า ใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ใช้ปุ๋ยคอก จำหน่ายในตลาดท้องถิ่น ส่วนการเพาะเลี้ยงไข่ผำของ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดอุดรธานี เริ่มจากการเตรียมน้ำ กรองผ่านผ้ากรองโอล่อน ใส่สารส้ม 20 ppm คลอรีน 10 ppm เตรียมไข่ผำ โดยแช่ด่างทับทิมเพื่อฆ่าตัวเบียน

ที่ผ่านมา มีการใช้ประโยชน์จากไข่ผำในรูปแบบต่างๆ เช่น เพื่อการบริโภค  ใช้เป็นอาหารเสริมสัตว์น้ำ ประมาณร้อยละ 10 ในอาหารเม็ดสำเร็จรูปเพื่อเลี้ยงปลานิลแดง ส่งผลให้ปลานิลแดงมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เลี้ยงไข่ผำเพื่อบำบัดน้ำเสีย โดยไข่ผำสามารถสะสมแคดเมี่ยมได้มากถึง 80.65 มิลลิกรัม/กรัม  เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การผลิตแอลกอฮอล์และพลาสติก เป็นต้น

ไข่ผำ เป็นอาหารแห่งอนาคต เพราะมีต้นทุนการผลิตต่ำ  มีโปรตีนสูง 20-40% มีสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้ระยะเวลาเพาะเลี้ยงสั้น เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็ว และศัตรูพืชน้อย  สามารถสร้างรายได้จากไข่ผำ โดยการจัดทำมาตรฐานของไข่ผำ  พัฒนาเทคโนโลยีการผลิต, การแปรรูปผลิตภัณฑ์ การพัฒนาด้านงานวิจัย และการตลาด

ด้าน ดร.รุจิเรข น้อยเสงี่ยม สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กล่าวบนเวทีในหัวข้อ “การเข้าใจ เข้าถึง นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต (Future Food)” ว่า  ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือ จำนวนประชากรเพิ่มขึ้น เกิดการขาดแคลนอาหาร  ความต้องการอาหาร-แหล่งโปรตีนทางเลือกเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ภาวะโลกร้อน การเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกและการเกิดโรคอุบัติใหม่ ทำให้ตัวเลขประชากรโลกแตะ 8 พันล้านคนเสี่ยงวิกฤติ ขาดแคลนอาหาร

ดร.รุจิเรข น้อยเสงี่ยม

อาหารแห่งอนาคต ควรมีองค์ประกอบเหล่านี้ร่วมกัน คือ 1. มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เสริมภูมิคุ้มกัน เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ 2.ตอบโจทย์และช่วยแก้ปัญหาด้านความมั่นคงทางอาหาร 3. มีกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่ ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด 4. มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม ซึ่งกลุ่มอาหารที่จะทวีความสำคัญในอนาคตได้แก่   อาหารฟังก์ชัน (Functional Food) โปรตีนทางเลือก (Alternative proteins)และอาหารอินทรีย์ (Organic Food)

โปรตีนทางเลือก ได้แก่ 1. โปรตีนที่ทำมาจากพืช (Plant-based protein)  2. โปรตีนจากแมลง (Insect-based protein) 3. เนื้อที่พัฒนาขึ้นจากเซลล์ของสัตว์ (Lab-grown meat) 4. โปรตีนจากเชื้อราหรือจุลินทรีย์ (Mycoprotein) และ5. โปรตีนจากสาหร่าย (Algae-based protein)

จิ้งหรีด และ Black Soldier Fly ( BSF) มีศักยภาพเป็น “แหล่งโปรตีนทางเลือก”  ที่ใช้ทรัพยากรน้อย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง โปรตีนเฉลี่ยสูงกว่าเนื้อสัตว์  มีกรดอะมิโนจำเป็นครบ 9 ชนิด  มีโอเมก้า 6 และโอเมก้า 3 เทียบเท่าปลาแซลมอน มีแคลเซียมสูงกว่านมวัว  มีธาตุเหล็กสูงกว่าผักโขม มีวิตามิน B12 สูงกว่าปลาแซลมอล 10 เท่า มี Chitin สนับสนุนการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย โพรไบโอติกส์

มูลค่าตลาดของแมลงกินได้ในปี 2565 อยู่ที่ 21,000 ล้านบาท อัตราเติบโตเฉลี่ย28.3%   โดย    สัดส่วนมูลค่าตลาดแมลงกินได้ อยู่ที่เอเซียแปซิฟิค 41%  อเมริกาเหนือ 13%   ละตินอเมริกา 22%  ยุโรป 21%    ตะวันออกกลางและแอฟริกา 3%  ด้านจิ้งหรีด ในปี2565มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 14,000ล้านบาท อัตราการเติบโตเฉลี่ย ที่ 28.6%   คาดว่า ปี 2573  ตลาดจิ้งหรีดจะมีมูลค่า 144,000 ล้านบาท  เพราะมีผู้บริโภคในทุกภูมิภาค ในแอฟริกามีการบริโภคจิ้งหรีดมากที่สุด จำนวน 25 ประเทศ รองลงมา คือ เอเชีย 13 ประเทศ อเมริกา 4 ประเทศ ยุโรป 4 ประเทศ และทวีปออสเตรเลีย 2 ประเทศ

จิ้งหรีดถูกนำมาแปรรุปเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ โดยจิ้งหรีดทั้งตัว ถูกนำมาผลิตในรูปแบบจิ้งหรีดแช่แข็ง และจิ้งหรีดปรุงรส  ส่วนจิ้งหรีดสดนำมาผลิตเป็นจิ้งหรีดผง พัฒนาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากมาย เช่น พาสต้า  แครเกอร์จิ้งหรีด ขนมปังผสมผงจิ้งหรีด แป้งบราวนี่สำเร็จรูป เกลือปรุงผสมจิ้งหรีด  ผงโปรตีนสกัดเข้มข้น ไส้กรอกผสมจิ้งหรีด โปรตีนจิ้งหรีดอัดเม็ด ฯลฯ

หากใครสนใจเจาะตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์จิ้งหรีด ต้องดำเนินงานใน 4 ขั้นตอนดังนี้ 1. ฟาร์มจิ้งหรีดต้องผ่านการรับรองมาตรฐาน GAP (มกษ. 8202-2560) ยื่นขอการตรวจประเมินและรับรองมาตรฐานฟาร์มจากกรมปศุสัตว์ ณ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด/สำนักงานปศุสัตว์อำเภอที่ฟาร์มตั้งอยู่  2. โรงงานแปรรูป ต้องผ่านการตรวจประเมินและขึ้นทะเบียนกับกรมปศุสัตว์ปฏิบัติตามหลัก GMP/HACCP ยื่นขอการรับการตรวจประเมิน/ขึ้นทะเบียนสถานประกอบการกับกรมปศุสัตว์ 3. ผลิตภัณฑ์จิ้งหรีด ต้องตรวจวิเคราะห์สินค้าและขอใบรับรองสุขอนามัย ส่งตัวอย่างวิเคราะห์ตามเงื่อนไขประเทศปลายทางว่า ปราศจากจุลินทรีย์ก่อโรค ปราศจากสารตกค้าง/สารปนเปื้อน และโปรตีนจากสัตว์เคี้ยวเอื้อง เตรียมเอกสารเพื่อยื่นขอใบรับรองสุขอนามัยกับกรมปศุสัตว์ใช้ใบรับรองสุขอนามัยประกอบการนำเข้า ณ ด่านปลายทาง  4.ตลาดต่างประเทศ  ต้องผ่านการตรวจนำเข้า ณ ด่านปลายทาง ด่านที่อนุญาตนำเข้า การตรวจสอบเอกสาร ใบรับรองสุขอนามัย ใบแสดงผลการวิเคราะห์ ตรวจสินค้า/ฉลาก เก็บตัวอย่างเพื่อตรวจวิเคราะห์

คุณกมลวรรณ รุ่งประเสริฐวงศ์

คุณกมลวรรณ รุ่งประเสริฐวงศ์ เกษตรกรเพาะเลี้ยงไข่ผำ จังหวัดกาญจนบุรี กล่าวบนเวทีในหัวข้อ “ไข่ผำ Super foods ของโลก เพาะเลี้ยงง่าย สร้างเงินแสน”  ว่า  การเพาะเลี้ยงไข่ผำ ต้องมีธาตุอาหารให้ครบถ้วน พร้อมพัฒนาสินค้าให้มีมูลค่า เพื่อสร้างความแตกต่างให้ลูกค้าเห็นถึงคุณภาพในสินค้า การเลี้ยงไข่ผำของ ไร่แสงสกุลรุ่ง เริ่มจากเตรียมลองซีเมนต์นำมาล้างทำความสะอาด ใส่น้ำ  3/4 ของบ่อซีเมนต์ ใส่ต้นกล้วย 3 ท่อนในบ่อซีเมนต์ได้ นำมูลวัวมาเททับต้นกล้วยลงไปจำนวน 1 กระสอบต่อบ่อ หมักไว้ 2-4 สัปดาห์ครบระยะเวลา ปล่อยน้ำทิ้งพร้อม ล้างทำความสะอาดลองซีเมนต์

การเลี้ยงไข่ผำระบบปิดในลองซีเมนต์ พร้อมเติมธาตุอาหารด้วยน้ำหมักปลาที่เป็นสารชีวภัณฑ์ที่เป็นประโยชน์กับไข่ผำ ในระยะเวลา 2 สัปดาห์  เริ่มจากเตรียมลองซีเมนต์ให้พร้อม ใส่น้ำลงไปพร้อมเติมธาตุอาหารและใส่พันธุ์ผำลงไป ครบ 1 สัปดาห์ ปล่อยน้ำพร้อมทำความสะอาดให้เรียบร้อย พร้อมปล่อยผำลงไปใหม่ ครบ 2 สัปดาห์จึงช้อนผำนำมาแปรรู

ส่วนการขยายพันธุ์ “ไข่ผำ ”  วัสดุที่เพาะเลี้ยงอาจเป็นโอ่ง อ่างน้ำ กะละมัง หรือท่อชีเมนต์ หากใช้ท่อชีเมนต์ต้องเทปูนรองพื้น ป้องกันน้ำรั่ว ใส่ท่อระบายน้ำทิ้งไว้เพื่อการเปลี่ยนถ่ายน้ำ และเช่น้ำทิ้งไว้ให้บ่อหมดความเป็นปูนหรือที่เรียกว่า ให้บ่อจืดก่อน จึงจะเลี้ยงผำได้ ควรเป็นสถานที่ค่อนข้างร่ม อาจใช้ใด้ร่มไม้ก็ได้ หากจำเป็นต้องเลี้ยงกลางแดดให้พรางแสงด้วยซาแรน 50 เปอร์เซ็นต์จะช่วยให้ผำโตดี และให้โปรตีนสูงกว่าการเลี้ยงกลางแดดจัด

อธิบดีกรมประมง ถ่ายรูปกับ มาดามผำ และคุณกมลวรรณ

เมื่อผำสดมีอายุครบ 2 สัปดาห์ได้ระยะที่เหมาะสมเตรียมจำหน่าย ต้องทำความสะอาดทั้งหมด 4 รอบ เริ่มจากเตรียมซึ้งและนำผ้าขาวบางวางบนซึ้ง นำที่กรองมาวางบนผ้าขาวบาง พร้อมนำผำที่อายุครบ 2 สัปดาห์ใส่ลงบนที่กรอง ใช้น้ำล้างทำความสะอาดทั้งหมด 4 รอบ หลังจากล้างทำความสะอาดแล้วก็นำผำไปบรรจุด้วยระบบสูญญากาศพร้อมชั่งน้ำหนัก ซีลสูญญากาศ แช่ตู้เย็นอุณหภูมิปกติ สามารถคงความสดใหม่และรักษาคุณภาพของผำสด ได้นาน 3 สัปดาห์

ปัจจุบันไร่แสงสกุลรุ่ง ได้นำผำสดมาแปรรูปสร้างเพิ่มมูลค่าในรูปแบบ ข้าวเกรียบผำ  ขนมปังกระเทียมไข่ผำ ทองแผ่นผำ ฯลฯ  ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ไร่แสงสกุลรุ่ง   โทร. 091- 7536491( แสบ), 084-8948765 (มาดามผำ )

และปิดท้ายเวทีด้วย คุณบัญชร นามธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สามสิบสอง อินโนเวท จำกัด  พูดคุยในหัวข้อ “เลี้ยงจิ้งหรีดอย่างมืออาชีพ 2 ปี คืนทุน 3 ปี ทำกำไร”   กล่าวว่า ตลาดแมลงกินได้ทั่วโลกปี 2561 – 2566 มีอัตราการเติบโตระหว่างประมาณ 23.8% คาดว่าในปี 2566 มูลค่าตลาดรวมอยู่ที่  37,900 ล้านบาท  โดยตลาดเอเชียมีสัดส่วนถึง 30-40% รองลงมาคือในยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา และ อื่นๆ

พ.ศ. 2564 เป็นจุดเริ่มต้นธุรกิจเพาะจิ้งหรีดของเรา  จากการเล็งเห็นศักยภาพของจิ้งหรีดที่กำลังเป็นเทรนด์อาหารทางเลือกที่มาแรงและเป็นแหล่งโปรตีนแห่งอนาคต เนื่องจากจำนวนประชากรโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้พื้นที่เพาะปลูกมีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการ จิ้งหรีดจึงเป็นทางออกที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูง และมีกรดอะมิโนที่สำคัญอีกมากมาย

เนื่องจากรูปแบบการเลี้ยงจิ้งหรีดแบบดั้งเดิม ไม่ตรงตามความต้องการของเรา 32 BUG FARM จึงได้พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการเลี้ยงจิ้งหรีดในแนวตั้ง ด้วยระบบอัตโนมัติในประเทศไทย ทำให้ง่ายสำหรับการเลี้ยงจิ้งหรีดและเพิ่มผลผลิตอย่างมีประสิทธิภาพผ่านระบบให้อาหารและน้ำอัตโนมัติ ตลอดจนการรักษาสุขอนามัยของสัตว์ พร้อมด้วยระบบการบันทึกข้อมูลปัจจุบัน   32 BUG FARM ถือเป็นฟาร์มจิ้งหรีดชั้นนำที่ใช้นวัตกรรมใหม่ ที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพที่ดีที่สุด เป็นแหล่งอาหารโปรตีนสำหรับการบริโภคของมนุษย์ในอนาคต

สิ่งที่เราคำนึงเป็นอย่างมากคือ การให้อาหาร การให้น้ำ การระบายอากาศ การจับแมลง ตลอดจนสุขอนามัยสัตว์ (Animal welfare) การเลี้ยงจิ้งหรีดในโรงเรือนแบบปิด สามารถป้องการการรบกวนจากสัตว์อื่นๆและมีการระบายอากาศที่ดี  นอกจากนี้ยังมีระบบการให้น้ำและอาหารอัตโนมัติ มีการตั้งเวลาสำหรับการให้อาหารและน้ำตลอด 24 ชั่วโมง ปริมาณอาหารที่ให้เหมาะสมกับอายุของแมลงในแต่ละตู้

การเลี้ยงจิ้งหรีดในแนวตั้ง ด้วยระบบอัตโนมัติ

เราใส่ใจเรื่อง Animal welfare จิ้งหรีดมีสุขภาพดีเพราะไม่มีแก๊สสะสมภายในตู้เลี้ยง ไม่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อจากมูลนก และสัตว์พาหะอื่นๆไม่สามารถเข้าไปในตู้เลี้ยงได้  มีการฆ่าเชื้ออุปกรณ์ที่ใช้ในการเลี้ยงทั้งหมดก่อนการเลี้ยงรอบใหม่

ด้วยนวัตกรรมดังกล่าวทำให้เราสามารถผลผลิตจิ้งหรีดได้มากกว่าการเลี้ยงแบบทั่วไป ประมาณ 3 เท่า ในพื้นที่การเลี้ยงที่เท่ากัน สามารถลดคนและหน้าที่ในการทำงานภายในฟาร์ม เนื่องจากมีระบบให้อาหารและน้ำอัตโนมัติและระบบการจับที่สะดวก ทำให้ใช้คนในการดูแล น้อยลง แต่ได้ผลผลิตที่มีความสม่ำเสมอในปริมาณและคุณภาพเพราะมีการให้อาหารและน้ำอย่างต่อเนื่องด้วยระบบอัตโนมัติ 24 ชม. ปัจจุบันทางฟาร์มสามารถผลิตจิ้งหรีด2,000 – 2,500 ก.ก.ต่อเดือน ในพื้นที่ 400ตารางเมตร ผลิตมูลจิ้งหรีด  3,000-4,000 ก.ก.ต่อเดือน

สำหรับเกษตรกรมือใหม่ที่สนใจลงทุนเลี้ยงจิ้งหรีดด้วยนวัตกรรมนี้ ต้องใช้เงินลงทุน 1.5-1.7 ล้านบาท มีกำลังการผลิต  1,000 กิโลกรัมต่อเดือน สามารถขายผลผลิตผ่านพ่อค้าคนกลาง ในราคาก.ก.ละ  100-110บาท ระยะเวลาการคืนทุนประมาณ 7 ปี   หากนำจิ้งหรีดสดมาแปรรูปเพิ่มมูลค่าขายได้ในราคาก.ก.ละ 200-250บาท  สามารถคืนทุนในระยะเวลา 14 เดือน  ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทร. 081697-3539 หรือเพจเฟซบุ๊ก : 32 BUG FARM

แชร์ :
ที่มาของเนื้อหา : https://www.technologychaoban.com/bullet-news-today/article_257326