มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต จับมือวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเกษตรบ้านโตนดินใน “โตนดินฟาร์มสเตย์” ศึกษาวิจัยและยกระดับ “ฟักข้าว” พืชพื้นบ้าน สู่สินค้าเชิงพาณิชย์ของชุมชนสบู่ เซรั่ม ภายใต้ แบรนด์ “ชาลิเย่” ส่งขายทั่วประเทศ
วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรบ้านโตนดินใน “โตนดินฟาร์มเสตย์” อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ได้นำ “ฟักข้าว” ซึ่งเป็นพืชพื้นบ้านที่ปลูกกันในครัวเรือน แทบจะไม่มีราคา มาแปรรูปเป็นสบู่ และเซรั่มบำรุงผิว โดยได้รับการสนับสนุนจากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ในการศึกษาวิจัย ภายใต้โครงการบริการให้คำปรึกษาและข้อมูลเทคโนโลยี เพื่อยกระดับสินค้าทางการเกษตรและต่อยอดให้เป็นผลิตภัณฑ์ฟักข้าวเชิงพาณิชย์ ภายใต้แบรนด์ “ชาลิเย่” ซึ่งประกอบด้วย เซรั่มฟักข้าว และสบู่ฟักข้าว โดยมีจุดเด่นที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
โดยทางมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต และบริษัท คอสเมด แอนด์ แอมไท-เจจิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์สบู่และเซรั่มฟักข้าว ร่วมกันส่งมองผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรบ้านโตนดินใน “โตนดินฟาร์มเสตย์” โดยมี น.ส.ศุฑภไศรเครือวัล ทองสกุล ประธานวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรบ้านโตนดินใน เป็นตัวแทนรับมอบ โดยมี น.ส.ภัทรกันยา ชูวงศ์ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดพังงา เป็นประธาน พร้อมด้วย ผศ.ดร.ดวงรัตน์ โกยเจริญ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ผศ.รังสรรค์ ผลสมัคร คณบดีคณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ดร.อนิตทยา กังแฮ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี น.ส.กานต์จนาภา สถิรชวาล ตัวแทนจากบริษัท คอสเมด แอนด์ แอมไท-เจจิ้ง จำกัด ตัวแทนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธนาคาร ธ.ก.ส.) จ.พังงา หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วม เมื่อวันที่ 3-4 พ.ย.ที่ผ่านมา ณ วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรบ้านโตนดินใน “โตนดินฟาร์มเสตย์”
ดร.อนิตทยา กังแฮ อาจารย์ประจำคณะ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ได้เข้ามาถ่ายทอดความรู้ในการนำฟักข้าวมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ “สบู่ฟักข้าว” ให้วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรบ้านโตนดินใน “โตนดินฟาร์มเสตย์” มาแล้ว ซึ่งได้ผลในระดับหนึ่ง โดยทางวิสาหกิจได้ทำเป็นสบู่ฟักข้าวออกขายในราคาก้อนละ 50 บาท ซึ่งได้รับการตอบรับดีมาก แต่ฟักข้าวยังมีคุณสมบัติที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง จึงได้นำไปศึกษา สกัด วิเคราะห์ และทดลอง ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ในตัวเนื้อของฟักข้าวมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ และมีวิตามินที่สำคัญ เช่น วิตามินซี เป็นต้น
จากนั้นจึงได้นำสารตั้งต้นทั้ง 2 ชนิด ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยชะลอวัย และบำรุงผิวหนังมาเป็นสารตั้งต้นในการทำผลิตภัณฑ์ออกมา 2 ชนิด คือ สบู่ฟักข้าว และเซรั่มฟักข้าว โดยผลิตออกมาภายใต้ชื่อแบรนด์ “ชาลิเย่” โดยผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ชนิดนี้มีคุณสมบัติเด่น คือ ทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย และสร้างความชุ่มชื่น โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเรื่องฝ้า กระ เมื่อใช้จะทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้น
และที่สำคัญผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ชนิดได้รับการผลิตโดยบริษัท คอสเมด แอนด์ แอมไท-เจจิ้ง จำกัด ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ชาลิเย่ มีคุณสมบัติเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะในส่วนของ สบู่ที่มีการพัฒนาในเรื่องของกลิ่น ซึ่งกลิ่นเป็นกลิ่นเฉพาะ หอมไม่เหมือนใคร และผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ชนิด ผ่านการรับรองจาก อย. แล้ว หลังจากนี้อาจผลิผลิตภัณฑ์ตัวใหม่เพิ่มขึ้น เช่น ครีมกันแดด เป็นต้น
ขณะที่ น.ส.ศุฑภไศรเครือวัล ทองสกุล ประธานวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรบ้านโตนดินใน กล่าวถึงที่มาของผลิตภัณฑ์ สบู่ฟักข้าว และเซรั่มฟักข้าว ภายใต้แบรนด์ “ชาลิเย่” ว่า ในส่วนของโตนดินฟาร์มสเตย์ ซึ่งเป็นวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตร ได้ปลูกต้นฟักข้าวไว้เป็นให้เป็นร่มเงา เมื่อมีผลผลิตออกมาไม่รู้จะเอาไปไหน ทั้งๆ ที่รู้ว่าในตัวฟักข้าวมีประโยชน์มาก จึงได้ขอคำปรึกษาไปยังอาจารย์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ซึ่งทางอาจารย์ได้มาสอนให้ทำ สบู่จากฟักข้าว ซึ่งช่วงนั้นทำกันแบบบ้านๆ ใส่ส่วนผสมเนื้อฟักข้าวและน้ำผึ้งลงไป เมื่อทำออกมาขายปรากฏว่าได้รับการตอบรับดีมาก ทำขายไม่ทัน เพราะฟักข้าวจะให้ผลผลิตเพียงปีละครั้งเท่านั้น
หลังจากนั้น ได้ขอคำปรึกษาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น โดยแจ้งความประสงค์ไปยังมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ว่า อยากนำฟักข้าวไปทำสบู่ และเซรั่ม ทางคณะอาจารย์ได้เข้ามาส่งเสริมอย่างจริงจัง โดยการถ่ายทอดความรู้ ศึกษาวิจัย เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ให้เป็นสินค้าเชิงพาณิชย์ หลังจากที่มีการศึกษาวิจัยจนได้คุณสมบัติที่ชัดเจน ได้ร่วมกับทีมวิจัยของโรงงานผลิตเครื่องสำอางในการทำผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ชนิด ออกมาภายใต้แบรนด์ “ชาลิเย่”
ขณะนี้สามารถที่จะวางขายในช่องทางต่างๆ ได้แล้ว ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ ซึ่งสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ “โตนดินฟาร์ม สเตย์” โดยในเบื้องต้น ผลิตออกมาจำนวน 1,000 ขวด และ 1,000 ก้อน เพื่อทดลองตลาดก่อน หากกระแสตอบรับดี หลังจากนั้นจะมีการสั่งผลิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้เริ่มมีตัวแทนจำหน่าย ซึ่งเป็นชาวบ้านที่เคยใช้สบู่มาก่อนจะไปบอกต่อ ทำให้เริ่มมียอดสั่งเข้ามาแล้ว
น.ส.ศุฑภไศรเครือวัล กล่าวอีกว่า หลังจากนี้จะมีการพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์จากฟักข้าวเพิ่มขึ้นอีกตัว คือ “ครีมกันแดดฟักข้าว” เพราะจากการศึกษาวิจัยพบว่า ในฟักข้าวนอกจากจะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ และ วิตามินซีแล้ว ยังมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารที่ป้องกันแสงแดดได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตัวฟักข้าวนั้น ทางวิสาหกิจได้รับซื้อจากชาวบ้าน เดิมทีนั้นขายได้กิโลกรัมละ 15 บาท จึงทำให้ไม่ค่อยมีคนปลูก ทำให้มีผลผลิตน้อย แต่หลังจากที่มีการพัฒนานำฟักข้าวมาเป็นเป็นเวชสำอาง ทางวิสาหกิจได้รับซื้อจากชาวบ้านกิโลกรัมละ 30 บาท ชาวบ้านจึงปลูกเพิ่มขึ้น และอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่ปลูกฟักข้าวเพิ่ม เพื่อให้เพียงพอต่อการนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตทั้งสบู่ และเซรั่มต่อไป
สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะใช้ผลิตภัณฑ์หรือเป็นตัวแทนจำหน่าย สามารถที่จะติดต่อได้ที่โทร.08-1691-2843