“แบงก์ชาติ” ยันเศรษฐกิจไทยห่างไกลเงินฝืด ระบุดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% เป็นระดับเหมาะสม รองรับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมได้แล้ว แจงปรับจีดีพีปี 67 เหลือ 3.8% เหตุจากท่องเที่ยวมูลค่าลด-ดิจิทัลวอลเล็ตเปลี่ยนเงื่อนไขเวลา
นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน Monetary Policy Forum ครั้งที่ 4/2023 ว่า ธปท. คาดการณ์แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อใน เดือน ธ.ค. จะยังคงติดลบต่อไป แต่จะกลับมาเป็นบวกได้ภายไตรมาส 1/2567 ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ เป็นผลมาจากปัจจัยพิเศษ เช่น มาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ ลดราคาน้ำมัน ขณะที่พืชผลเกษตร ราคาเนื้อหมูในปีนี้อยู่ในระดับต่ำ แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณคลี่คลายในระยะข้างหน้า ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ไม่ได้สะท้อนว่าไทยเข้าสู่ภาวะเงินฝืดแต่อย่างใด
“มองไปข้างหน้า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยมีแรงส่งมาจากราคาอาหารสด ราคาเนื้อหมูที่คลี่คลาย และปัญหาเอลนีโญที่ผลกระทบชัดเจนขึ้น ส่งผลต่อราคาข้าว ผักผลไม้แพงขึ้น โดยคาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปปีหน้าอยู่ที่เฉลี่ย 2% ขณะที่เงินเฟ้อฟื้นฐานคาดฟื้นตัวราว 1.2-1.3% ปีหน้า โดยรวม เงินเฟ้อทั่วไประยะปานกลางคาดว่าจะอยู่ในกรอบ 1-3%” นายสุรัช กล่าว
นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า ความเสี่ยงต่อการขยายตัวเศรษฐกิจในปี 2567 ที่ กนง.ให้น้ำหนักมากที่ที่สุด คือ การฟื้นตัวของการส่งออก ว่าจะสามารถกลับมาเป็นแรงขับเคลื่อน สนับสนุนภาคการท่องเที่ยว ที่ในปี 2566 มองว่าเป็นพระเอกเพียงคนเดียวได้หรือไม่ ซึ่งยังมีข้อถกเถียงว่าการส่งออกจะสามารถกลับมาได้มากน้อยเพียงใด โดยล่าสุดที่ปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 จาก 4.4% เหลือ 3.8% ก็มาจากปัจจัยด้านการท่องเที่ยวที่มูลค่าลดลง ขณะที่มาตรการดิจิทัลวอลเล็ตก็มีการเปลี่ยนเงื่อนไขเวลา และรูปแบบมาตรการออกไป
อย่างไรก็ดี มองว่าเศรษฐกิจไทยถ้าโตตามศักยภาพจะอยู่ที่ราว 3% ถือว่าไม่สูงมาก จึงควรมุงเน้นในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ขณะที่ปี 2567 หากไม่มีมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต มองว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ 3.2% ก็เป็นการประมาณการกลาง ๆ ไม่ได้สูงกว่าที่อื่น และแม้ว่าจะมีผลจากมาตรการดิจิทัลวอลเล็ตหรือไม่ก็ตาม การทำนโยบายการเงินที่ผ่านมาได้พิจารณาอย่างรัดกุม โดยระดับดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ต่อปี รองรับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว