มีผลบังคับใช้แล้ว กฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าใช้น้ำ สทนช.เผย ประชาชนและเกษตรกรส่วนใหญ่อยู่ในประเภทที่ 1 ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำ แต่จะใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการน้ำ ปลูกจิตสำนึกให้รู้คุณค่าน้ำและการใช้น้ำอย่างประหยัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด สร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับประเทศ
วันที่ 30 ม.ค.2567 นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบกฎกระทรวง ภายใต้พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 จำนวน 5 ฉบับ และได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษามีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 25 ม.ค.2567 ประกอบด้วย กฎกระทรวงที่เสนอโดย สทนช. 3 ฉบับ คือ
กฎกระทรวงกำหนดลักษณะการใช้น้ำแต่ละประเภท พ.ศ.2567 กฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สอง และใบอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สาม พ.ศ.2567 และกฎกระทรวงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าใช้น้ำ การเรียกเก็บ ลดหย่อน และยกเว้นค่าใช้น้ำ สำหรับการใช้น้ำประเภทที่สองและการใช้น้ำประเภทที่สาม พ.ศ.2567
ส่วนอีก 2 ฉบับเสนอโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่กฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าใช้น้ำประเภทที่สองและประเภทที่สามที่ไม่ใช่น้ำจากทางน้ำชลประทานและไม่ใช่น้ำบาดาล พ.ศ.2567 และกฎกระทรวงการอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สองและประเภทที่สาม พ.ศ.2567 สำหรับสาระสำคัญของกฎกระทรวงทั้ง 5 ฉบับดังกล่าว ได้กำหนดลักษณะการใช้น้ำไว้ 3 ประเภทคือ
การใช้น้ำประเภทที่หนึ่ง เป็นการใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อการดำรงชีพ การอุปโภคบริโภคในครัวเรือน การเกษตรหรือการเลี้ยงสัตว์ การอุตสาหกรรมในครัวเรือน การใช้น้ำประเภทที่สอง เป็นการใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อการอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การผลิตพลัง งานไฟฟ้า การประปาและกิจการอื่น และการใช้น้ำประเภทที่สาม เป็นการใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อกิจการขนาดใหญ่ที่ใช้น้ำปริมาณมาก หรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบข้ามลุ่มน้ำ หรือครอบคลุมพื้นที่อย่างกว้างขวาง
ทั้งนี้การใช้น้ำประเภทที่หนึ่ง ซึ่งเป็นการใช้น้ำของคนส่วนใหญ่ในประเทศ ไม่ต้องขอรับใบอนุญาตและไม่ต้องชำระค่าใช้น้ำ แต่ผู้ใช้น้ำจะต้องให้ข้อมูลแก่หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อจะได้รวบรวมจัดส่งให้ สทนช. นำไปวิเคราะห์ความต้องการใช้น้ำในภาพรวม เพื่อการวางแผนบริหารจัดการน้ำด้านอุปทานให้สอดคล้องกับอุปสงค์ต่อไป
ดังนั้นเกษตรกรที่ปลูกพืชต่างๆ หรือแม้กระทั่งการทำนาปลูกข้าว การเลี้ยงสัตว์เพื่อยังชีพ จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากกฎกระทรวงดังกล่าว ยกเว้นการใช้น้ำบาดาลตามกฎหมายว่าด้วยน้ำบาดาล ยังคงต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาล และบางกิจการที่ใช้น้ำบาดาลอาจต้องชำระค่าใช้น้ำบาดาลด้วย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะที่ผ่านมาก็มีการชำระค่าใช้น้ำบาดาลอยู่แล้ว
ส่วนการใช้น้ำประเภทที่สองและประเภทที่สาม จะต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตพร้อม “แผนบริหารจัดการน้ำ” ต่ออธิบดีกรมชลประทาน อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ หรืออธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล แล้วแต่กรณีว่าทรัพยากรน้ำที่ใช้นั้น หน่วยงานไหนรับผิดชอบในทุกๆ 5 ปี การยกเว้นค่าใช้น้ำในบางกิจการเช่นกัน เช่น การผลิตน้ำเพื่อให้บริการด้านอุปโภคบริโภคแก่ประชาชนของหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ เฉพาะกรณีที่มีกำลังการผลิตไม่เกิน 30 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อชั่วโมง การผลิตน้ำดื่มสำหรับบริโภคในโรงเรียน การใช้น้ำในโรงพยาบาล เป็นต้น
ดังนั้นประปาหมู่บ้านที่ให้บริการประชาชนที่อยู่ในต่างจังหวัดหรือประปาภูเขาที่ให้บริการประชาชนในพื้นที่สูง ที่ผลิตน้ำประปาให้บริการโดยไม่ได้แสวงหากำไร ก็ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะได้รับยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าใช้น้ำ
สำหรับอัตราค่าใช้น้ำในเขตชลประทาน เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการชลประทาน ซึ่งกำหนดค่าชลประทานในอัตรา 50 สตางค์ต่อ ลบ.ม. ส่วนพื้นที่นอกเขตชลประทาน เป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าใช้น้ำประเภทที่ 2 และประเภทที่ 3 ที่ไม่ใช่น้ำจากทางน้ำชลประทานและไม่ใช่น้ำบาดาลหมายว่าด้วยการชลประทาน พ.ศ. 2567 ซึ่งกำหนดไว้ในอัตรา 0.373 สตางค์ต่อ ลบ.ม. เนื่องจากเป็นการใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่อาจไม่มีต้นทุนค่าก่อสร้าง ทำให้สามารถจัดหาน้ำได้ในราคาที่ถูกกว่า ส่วนค่าใช้น้ำบาดาล ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยน้ำบาดาล
“กฎกระทรวงทั้ง 5 ฉบับดังกล่าว เป็นกฎหมายลำดับรอง หรือกฎหมายลูก ภายใต้พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือและกลไกในการบริหารจัดการน้ำ สร้างจิตสำนึกให้ผู้ใช้น้ำรู้ถึงคุณค่าและความสำคัญของทรัพยากรน้ำ ก่อให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการประหยัดน้ำ การใช้น้ำที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และคิดวางแผนการใช้น้ำอย่างครอบคลุมทั้งระบบ เพื่อความมั่นคงในการใช้น้ำอย่างยั่งยืน”