สนค. เผยปี 66 ไทยการส่งออกสินค้าภายใต้กฏหมาย EUDR จากไทยไป EU มีมูลค่า 455.58 ล้านดอลลาร์ หดตัว 37.14 % “ยางพารา ผลิตภัณฑ์ไม้”ส่งออกมากสุด แนะผู้ประกอบการเตรียมรับมืออียูเตรียมแบนสินค้าเข้าข่ายทำลายป่า
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้ติดตามสถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรไทยภายใต้กฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า หรือ EUDR (EU Deforestation Regulation) ของสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งได้มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2566 และจะมีผลในทางปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.2567
สำหรับมาตรการ EUDR ครอบคลุม 7 กลุ่มสินค้า คือ โกโก้ กาแฟ ถั่วเหลือง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน โค และไม้ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปของสินค้าเหล่านี้ โดยในปี 2565 ไทยมีการส่งออกสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการ EUDR ไปอียู รวมมูลค่า 724.73 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8.34% จากปีก่อนหน้า เรียงตามมูลค่าการส่งออกสูงสุด ดังนี้
- ยางพารา 657.02 ล้านดอลลาร์ 2. ไม้ 43.11 ล้านดอลลาร์3 .ปาล์มน้ำมัน 21.39 ล้านดอลลาร์ 4. โกโก้ 2.89 ล้านดอลลาร์ 5. กาแฟ 0.32 ล้านดอลลาร์ และ 6. ถั่วเหลือง 0.002 ล้านดอลลาร์ ส่วนโคเป็นสินค้าที่ไทยไม่มีการส่งออกไปอียู (จัดกลุ่มสินค้าตามพิกัดศุลกากรที่ระบุใน Regulation (EU) 2023/1115)
สำหรับปี 2566 การส่งออกสินค้าภายใต้มาตรการ EUDR จากไทยไป EU มีมูลค่า 455.58 ล้านดอลลาร์ หดตัว 37.14 %จากปีก่อนหน้า โดยเรียงตามมูลค่าการส่งออกสูงสุด ดังนี้ 1. ยางพารา 386.55 ล้านดอลลาร์ มีสัดส่วน 84.85% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าภายใต้มาตรการ EUDR ทั้งหมด 2. ไม้ 61.53 ล้านดอลลาร์ 3. ปาล์มน้ำมัน 3.63 ล้านดอลลาร์ 4. โกโก้ 3.48 ล้านดอลลาร์ 5. กาแฟ 0.36 ล้านดอลลาร์ และ 6. ถั่วเหลือง 0.02 ล้านดอลลาร์
โดยสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปอียูมากที่สุดในกลุ่ม คือ ยางพารา และไม้ ซึ่งในปี 2566 การส่งออกยางพารา หดตัว 41.17% สอดคล้องกับการส่งออกยางพาราจากไทยไปโลกที่หดตัวเช่นกัน โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากอุปสงค์โลกชะลอตัว ขณะที่ การส่งออกไม้จากไทยไปอียู ขยายตัว 42.73%
มาตรการ EUDR ใช้กับผู้ประกอบการ (Operators) และผู้ค้า (Traders) ที่จะวางจำหน่ายสินค้าในตลาดอียู โดยสินค้าต้องผ่านเงื่อนไข 3 ข้อ คือ 1. สินค้าต้องไม่มาจากการบุกรุกพื้นที่ป่า 2. สินค้าต้องมีกระบวนการผลิตที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศผู้ผลิต และ 3. ต้องมีการตรวจสอบและประเมินสินค้า (Due Diligence)
ในส่วนของการทำ Due Diligence ต้องมีการดำเนินการใน 3 ส่วน คือ 1. การรวบรวมข้อมูลของสินค้า (Data Collection) (เช่น รายละเอียดสินค้า ประเทศผู้ผลิต พิกัดภูมิศาสตร์ของที่ดินที่ใช้เพาะปลูก ข้อมูลที่ยืนยันว่าสินค้าไม่ได้มาจากการบุกรุกพื้นที่ป่า และข้อมูลที่ยืนยันว่าสินค้าผลิตถูกต้องตามกฎหมายของประเทศผู้ผลิต)
2. การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) บนพื้นฐานของข้อมูลที่รวบรวม เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าที่จะวางจำหน่ายในตลาดอียูเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งประเมินความเสี่ยงจากการมีสินค้าที่ไม่เป็นไปเงื่อนไขที่อาจปะปนมา
3. การลดความเสี่ยง (Risk Mitigation) โดยหากพบความเสี่ยง จะต้องดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงลงมาให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ (เช่น หาข้อมูล และสำรวจตรวจสอบเพิ่มเติม และต้องจัดทำเอกสารเกี่ยวกับกระบวนการและมาตรการลดความเสี่ยง)
สำหรับการดำเนินการของไทยในฐานะประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้า ต้องจัดเตรียมข้อมูลตามเงื่อนไขของกฎหมาย EUDR ให้พร้อม เนื่องจากผู้ประกอบการและผู้ค้าอียู จะซื้อสินค้าจากผู้ผลิตที่สามารถให้ข้อมูลตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งข้อมูลสำคัญที่จะต้องเตรียมให้มี คือ ข้อมูลเพื่อยืนยันว่าสินค้าไม่ได้มาจากการบุกรุกพื้นที่ป่า โดยในปัจจุบัน ประเทศไทยมีระบบลงทะเบียนที่สามารถนำมาใช้เป็นพื้นฐานรองรับมาตรการ EUDR ได้แก่ ระบบลงทะเบียนแหล่งปลูกไม้ ผ่านแอปพลิเคชันอี-ทรี (e-TREE) ของกรมป่าไม้ และระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (Rubber Authority of Thailand (RAOT) GIS) ของการยางแห่งประเทศไทย
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าภายใต้มาตรการ EUDR จากไทยไปอียู ประมาณ 85-90% คือ ยางพารา รองลงมา คือ ผลิตภัณฑ์ไม้ ส่วนสินค้าอื่นยังมีสัดส่วนน้อย ดังนั้น ในระยะแรก ผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้ายางพารา และผลิตภัณฑ์ไม้ มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบมากกว่า ขณะเดียวกันสินค้าสองกลุ่มนี้ มีความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมปลายน้ำจำนวนมาก ซึ่งอาจสร้างความซับซ้อน และก่อให้เกิดต้นทุนในการตรวจสอบย้อนกลับของห่วงโซ่การผลิตสินค้าปลายน้ำตามมา
อียูถือเป็นผู้นำและเป็นต้นแบบของโลกด้านการปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ซึ่งการออกกฎหมายของอียู จะเป็นตัวอย่างให้หลาย ๆ ประเทศออกกฎหมายในลักษณะเดียวกัน ดังนั้น ผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือกับกฎหมายกฎระเบียบใหม่ ๆ เพื่อรักษาตลาดและแสวงหาโอกาสได้ทันท่วงที