ต้นทุนการผลิตข้าวที่สูงขึ้น และผลผลิตต่ำ เป็นปัญหาที่ “เกษตรกรไทย” ยังต้องเผชิญ “กรมการข้าว” จึงมีเป้าหมายให้ “ศูนย์ข้าวชุมชน” เป็นศูนย์เรียนรู้เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการแก้ไขปัญหาเพื่อให้การผลิตข้าวที่มีคุณภาพกระจายให้เกษตรกรอย่างทั่วถึง
นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว เปิดเผยว่า จากพฤติกรรมของ ชาวนา ที่ใช้เมล็ดพันธุ์นาหว่านกว่า 30 กิโลกรัมต่อไร่ ทำให้ต้นข้าวแน่นแตกกอไม่ดี แม้ต้นจะสวยแต่ผลผลิตไม่ได้ การทำนาแบบนี้สุดท้ายจะไปไม่รอดทำให้เกษตรเร่งใส่ปุ๋ย ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ดีนัก ส่วนหนึ่งเพราะชาวนายังเชื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์ของผู้จำหน่ายปุ๋ย ในขณะที่พื้นที่ทำนาที่เป็นนาเช่าได้เร่งทำนาหลายรอบวนๆ ซ้ำๆ เดิมๆ ทำให้ดินเครียด การใช้เครื่องจักรหนักตีดินทำให้โครงสร้างกระจุยจึงต้องปรับแร่ธาตุ
ดังนั้น ศูนย์ข้าวชุมชน เป็นศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี เริ่มจากการไถกลบหมักตอฟางและหญ้า 7-10 วัน เพื่อให้ไม่มีวัชพืช เป็นการพักดิน หลังจากนั้นเอาน้ำเข้า แล้วใช้เชื้อจุลินทรีย์ที่ฝ่ายโรคพืชกรมการข้าวผลิตขึ้น เข้าจัดการแปลงนาช่วยฟื้นฟูย่อยสลายตอซัง ซึ่งการทำนาไม่ควรทำเกินปีละ 2 ครั้ง ด้วยการทำแบบประณีต ทำน้อยแต่ได้ผลผลิตสูง ต้นทุนต่ำ สลับด้วยการใช้เทคโนโลยีการปรับปรุงดินด้วยพืชปุ๋ยสด (ปอเทือง) และการไถกลบตอซัง การผลิตและการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพ และแหนแดง ซึ่งเป็นพืชน้ำเพื่อทดแทนการใช้สารเคมี ทำให้ต้นทุนการผลิตลง ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น และปลอดสารพิษ
“เชื้อจุลินทรีย์นี้ ทนต่อสภาพอากาศ กรมการข้าว ทำเป็นเม็ดกระเปาะ เพื่อให้ใช้กับโดรนได้ จะทำให้การกระจายจุลินทรีย์ทำได้ทั่วถึง เป็นวิธีการที่ดีกว่าการโรยด้วยมือ หรือปล่อยไปกับน้ำในนาที่ไม่ไหลเวียน โดยกรมการข้าวมีแผนแจกฟรีหลังการเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว แต่ปัญหาในขณะนี้คือกำลังการผลิตทำได้เพียง 500 ซองต่อเดือน น้อยมากเมื่อเทียบกับความต้องการ” นายณัฏฐกิตติ์ กล่าว
นอกจากนี้ การทำนาที่ได้ผลิตดีได้ข้าวที่มีคุณภาพคือ นาดำ แต่เนื่องจากต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ทำให้ไม่ได้รับความนิยม ปัจจุบันประเทศที่พัฒนาแล้ว แม้แต่เวียดนามที่มีแรงงานจำนวนมากได้นำเทคโนโลยีรถปลูกข้าวมาใช้ พบว่าทำให้ต้นทุนการผลิตข้าวลดลงกว่า 50% สำหรับไทย เริ่มนำรถปลูกข้าวมาใช้โดยรัฐบาลให้การส่งเสริมในโครงการแปลงใหญ่
“เกษตรกรต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีการลดต้นทุนการผลิต เพื่อเพิ่มผลผลิต เพิ่มคุณภาพผลผลิตข้าว และแก้ไขปัญหาในการผลิตข้าวที่ปรับตัวและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นี่เป็นเป้าหมายที่ต้องถ่ายทอดผ่านศูนย์ข้าวชุมชนไปพร้อมๆ กับภาระกิจด้านการกระจายเมล็ดพันธุ์คุณภาพ”
นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การทำนาเปียกสลับแห้งเป็นอีกเทคโนโลยีที่สนับสนุนให้เกษตรกรนำไปใช้โดยเฉพาะการทำนาปรังในเขตชลประทานที่สามารถควบคุมน้ำเข้าออกได้ วิธีการนี้ที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มการแตกกอของต้นข้าว ทำให้ต้นข้าวเติบโตในแนวข้างมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการกินปุ๋ยของต้นข้าวและลดการปล่อยก๊าซมีเทนที่สร้างภาวะเรือนกระจกให้กับโลกอีกด้วย
“มีผลงานวิจัยที่สร้างนวัตกรรมการเกษตรเกิดขึ้น เป็นอีกส่วนที่ กรมการข้าว ดำเนินการให้ใช้ได้จริงมาขยายผลสร้างการรับรู้ยอมรับ และนำไปใช้ อาทิ การเตรียมดินและการปรับพื้นที่ด้วยเลเซอร์, การปลูกข้าวด้วยเครื่องหยอดข้าวงอกติดท้ายรถแทรกเตอร์ และเทคโนโลยีการควบคุมแมลงศัตรูข้าวหลังการเก็บเกี่ยว เป็นต้น”
เทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้ จะมีจุดสาธิตให้ เกษตรกร เรียนรู้โดยใช้ ศูนย์ข้าวชุมชน เป็นแกนขยายไปยังเกษตรกร ซึ่ง ณ วันนี้จุดติดแล้ว และพร้อมก้าวต่อ การส่งความรู้ให้เกษตรกร ผ่านอาสาชาวนา 1.4 แสนคน เป็นการยกระดับคุณภาพมาตรฐาน เมล็ดพันธุ์ข้าว ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสในการเพิ่มคุณภาพและเพิ่มผลตอบแทนในการผลิตข้าวคุณภาพดีต่อไป