ค้นหา

ปราบเพลี้ยไฟให้อยู่หมัด เคล็ดลับกำจัดศัตรูตัวร้ายกู้ชีพต้นพริกให้งามสะพรั่ง

คู่มือเกษตรกร “รู้ไว้ใช้จริง” ชุดแมลงศัตรูพืช
เข้าชม 18 ครั้ง

เพลี้ยไฟ ศัตรูตัวจิ๋วแต่ร้ายกาจสำหรับต้นพริก มักเข้ามาทำลายพืชโดยดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบอ่อน ดอก และผล ทำให้ต้นพริกเหี่ยวเฉา ผลิตผลลดน้อยลง และบางครั้งก็ถึงกับทำให้ต้นตายได้! ดังนั้นหากปลูกพริกไว้ต้องเจอกับปัญหานี้แน่นอน วันนี้เทคโนโลยีชาวบ้านจึงขอแนะนำเคล็ดลับดีๆ ในการจัดการเพลี้ยไฟเพื่อช่วยให้ต้นพริกของคุณเติบโตอย่างงามสะพรั่ง

เพลี้ยไฟพริก เป็นแมลงศัตรูพืชที่มีความสำคัญมาก ชนิดหนึ่ง มักพบการระบาดตั้งแต่หลังย้ายปลูก 1 เดือน ส่วนใหญ่ เข้าทำลายบริเวณยอดและใบอ่อน ทำให้ยอดหรือใบอ่อนหงิก เมื่อใบพริกแก่จะเห็นเป็นรอยกร้านสีน้ำตาล ส่งผลให้การสังเคราะห์แสง ลดลง พริกจะชะงักการเจริญเติบโต ให้ผลผลิตน้อยลง และมีช่วงอายุ การเก็บเกี่ยวผลผลิตสั้น

หากเพลี้ยไฟระบาดในระยะที่พริกออกดอก จะทำให้ดอกพริกหลุดร่วง ถ้าระบาดในระยะติดผล พริกจะมีลักษณะ บิดงอ แคระแกร็น และมีคุณภาพต่ำ ไม่เป็นที่ต้องการของตลาด ถ้ามีการระบาดที่รุนแรง ต้นพริกจะชะงักการเจริญเติบโต หรือ แห้งตายในที่สุด

โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้พริกใบหงิก ได้แก่ แมลงศัตรูพืชสองชนิด คือ เพลี้ยไฟ ไรแดงและไรขาว ซึ่งอาจเข้าทำลายพร้อมๆ กันก็ได้ หรือสลับกันเข้าทำลาย โดยปกติจะพบว่าถ้าเพลี้ยไฟระบาดมาก จะมีไรแดงและไรขาวน้อย และถ้าพบไรแดงและไรขาวมาก เพลี้ยไฟจะระบาดน้อย

เพลี้ยไฟเป็นศัตรูพืชที่สังเกตได้ยาก เพราะมีขนาดเล็กมาก การตรวจสอบเป็นประจำ โดยเฉพาะช่วงใบอ่อนและดอก จะช่วยให้สามารถเห็นปัญหาได้เร็ว และจัดการได้ทันที ถ้าพบเพลี้ยไฟ ให้รีบกำจัดเพื่อป้องกันไม่ให้แพร่ระบาด

วิธีการป้องกันกำจัด

  1. ควรฉีดพ่นเชื้อราเมทาไรเซียมสลับกับเชื้อราบิวเวอเรีย ก่อนการระบาดของเพลี้ยไฟ ตามอัตราแนะนำพ่นทุก 5-7 วัน ให้ทั่วทรงพุ่มและบริเวณดินโคนต้นพริกในกรณีที่เริ่มพบการระบาดควรฉีดพ่นทุก 3 วัน
  1. ควรเพิ่มความชื้นโดยการให้น้ำอย่าให้พืชขาดน้ำ เพราะจะทำให้พืชอ่อนแอและเพลี้ยไฟพริกจะระบาดอย่างรวดเร็ว
  2. พ่นสารป้องกันกำจัดแมลงเมื่อพบมีการระบาด เพื่อทำลายไข่ ตัวอ่อน และตัวเต็มวัยเพลี้ยไฟเป็นแมลงขนาดเล็ก ชอบหลบอยู่ตามใต้ใบและซอกยอดอ่อน เวลาพ่นควรใช้เครื่องมือที่สามารถพ่นได้อย่างทั่วถึง

เมื่อดูแลและป้องกันเพลี้ยไฟได้อย่างถูกวิธี ต้นพริกของเราก็จะเติบโตแข็งแรง ให้ผลผลิตที่งดงามมากขึ้น อย่าลืมนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปลองใช้ดูนะคะ

แชร์ :
ที่มาของเนื้อหา : https://www.technologychaoban.com/agricultural-technology/article_294361