ปัญหาดินเสื่อมโทรมเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญทั่วโลก ดินชั้นบนของโลกถึง 90 เปอร์เซ็นต์อาจตกอยู่ในความเสี่ยงภายในปี 2593 ตามข้อมูลขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ซึ่งการเสื่อมโทรมของดินไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อหลายด้าน เช่น ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพสูญเสียไป
คุณภาพน้ำแย่ลง ดินไม่สามารถกักเก็บปริมาณคาร์บอนได้มาก ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การกัดเซาะดินสามารถทำลายรากฐานของโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งนำไปสู่ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงสูง
นอกจากนั้น ความอุดมสมบูรณ์ของดินที่ลดลงทำให้คุณค่าทางโภชนาการของพืชน้อยลง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อโภชนาการของมนุษย์ ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าการรักษาสุขภาพของดินเป็นสิ่งสำคัญต่อการสร้างความยั่งยืนให้กับระบบนิเวศและสังคมมนุษย์
ในประเทศไทย ประมาณ 33% ของพื้นที่เกษตรกรรมในประเทศอยู่ในสภาพที่มีคุณภาพดินต่ำกว่าเกณฑ์ในการทำเกษตรกรรม เพื่อแก้ไขปัญหาดินเสื่อมโทรมในประเทศไทย จำเป็นต้องมีการบูรณาการและความร่วมมือจากทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและเกษตรกร เพื่อวางแผนและนำแนวทางการจัดการดินที่ยั่งยืนมาใช้
ล่าสุด สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI เดินหน้าขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อม ผสานกำลังสมาคมดินโลก กรมพัฒนาที่ดิน มูลนิธิดั่งพ่อสอนและมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ ลงนามบันทึกข้อตกลงพร้อมส่งเสริมการสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของดิน การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวันดินโลกและแนวพระราชดำริด้านการจัดการดินอย่างยั่งยืน ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ผ่านกิจกรรมวันดินโลก กิจกรรมด้านวิชาการ ศิลปะแก่ภาครัฐ เอกชน เยาวชน เกษตรกรและประชาชนทั่วไป
รวมถึงการนำศาสตร์พระราชาของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหา วชิราลงกรณ์ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นแนวทางในการปฏิบัติและช่วยเหลือโดยการถ่ายทอดความรู้ด้านการเกษตรแก่ประชาชนในพื้นที่ทั่วไป หรือในเขตทุรกันดารเพื่อนำไปปรับใช้ในการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้น
ดินกว่า 33% เสื่อมโทรม
นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า ดินเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต นอกจากเป็นแหล่งของความมั่นคงและความปลอดภัยทางอาหารกว่า 95% แล้ว ยังเป็นปัจจัยพื้นฐานของการสร้างสมดุลให้กับระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม
“ในปัจจุบันดินกว่า 33% ประสบกับสภาวะความเสื่อมโทรม ไม่สามารถผลิตอาหารที่มีคุณภาพและปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของจำนวนประชากรโลกได้ รวมถึงการสร้างที่อยู่อาศัยที่รุกล้ำพื้นที่เกษตรซึ่งดินที่เสื่อมโทรมส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่เกษตร”
โดยดินเสื่อมโทรมไม่ได้เกิดจากสาเหตุทางธรรมชาติเท่านั้น แต่การขาดความรู้ความเข้าใจในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์จากดินอย่างถูกต้อง ก็เป็นเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้ดินขาดความอุดมสมบูรณ์
การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ จึงถือเป็นเรื่องนี้ที่ทั้ง 5 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ร่วมดูแลรักษาและฟื้นฟูสุขภาพดินให้เป็นแหล่งผลิตอาหารที่ยั่งยืน เพื่อรักษาคุณภาพดินให้ยั่งยืนต่อไปในอนาคต
จุดเริ่มต้นของปัจจัยสี่
ด้าน ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า ดินเป็นจุดเริ่มต้นของปัจจัยสี่เพื่อการดำรงชีพของมนุษย์และสรรพสิ่งต่างๆ การอยู่รอดของมวลมนุษย์จึงต้องพึ่งพาและรักษาดิน เพราะดินเป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางชีวภาพหลักของโลก สิ่งมีชีวิตทั้งคนและสัตว์ส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับดิน และดินดีจะมีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตช่วยสร้างสารอาหารสำหรับพืชและสามารถกักเก็บคาร์บอนไว้ได้ รวมทั้งดินยังมีคุณประโยชน์อีกมากมาย
ดังนั้น สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI มีบทบาทในการขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อมสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และได้ทำงานร่วมกับฝ่ายต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน ประชาสังคม ในการขับเคลื่อนงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในหลากหลายมิติเพื่อให้เกิดความยั่งยืนและเป็นไปตามเป้าหมายของประเทศไทยมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065
ควบคู่ไปกับการควบคุมมลพิษและอนุรักษ์ใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน ดังนั้น หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ก็คือการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติซึ่งทางTEI ได้ดำเนินการโครงการร่วมกับภาคีเครือข่ายมากมายในการมีส่วนร่วมดูแลและรักษาทรัพยากรดิน อาทิ โครงการ Urban Resilience Building and Nature ที่ศึกษาและวางแผนออกแบบเมืองสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยอาศัยธรรมชาติเป็นฐาน หรือ Natured-based Solutions (NbS)
กิจกรรมเวียนเทียนต้นไม้ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา การฟื้นฟูป่าชายเลน การป้องกันและลดฝุ่น PM2.5 ผ่านการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและรณรงค์การลดเผา เพื่ออนุรักษ์ความอุดมสมบูรณ์ของดิน เป็นต้น และทุกโครงการ กิจกรรม TEI ให้ความสำคัญในการดูแลรักษาปกป้องและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพในดิน ตลอดมา
เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs17
ดร. วิวัฒน์ ศัลยกำธร หรือ อาจารย์ยักษ์ นายกสมาคมดินโลก ให้ความเห็นว่า การจับมือของหลายหน่วยงานในครั้งนี้เป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs17 ที่เกี่ยวกับความร่วมมือเพื่อเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาทรัพยากรดินซึ่งเป็นทรัพยากรหลัก ขณะเดียวกันบอกว่าถึงเวลาที่ทั่วโลกจะให้ความสำคัญในการปรับปรุงสุขภาพดิน ทั้งการเอาใจใส่ดูแล เฝ้าติดตามและจัดการทรัพยากรดินให้กลับมาสมบูรณ์
“หลังจากนี้คือทศวรรษแห่งสุขภาพดิน ในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสุขภาพดินต่อความมั่นคงทางด้านอาหารและโภชนาการ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนและพัฒนาสุขภาพดินให้เป็นแนวทางการพัฒนาสู่ความยั่งยืน พร้อมเชื่อมั่นว่าทุกองค์กรที่ลงนามในครั้งนี้มีความพร้อมที่จะขับเคลื่อนในการดูแลและรักษาทรัพยากรดิน”
ทั้ง 5 หน่วยงานมุ่งหวังว่าการผสานกำลังในครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรดินอย่างชาญฉลาด รักษาคุณภาพดินให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืนต่อไป และเกิดความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต เพราะการดูแลรักษาและฟื้นฟูสุขภาพดินไม่ได้เป็นเพียงหน้าที่ของภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของเราทุกคน
ส่องตัวอย่าง แก้ไขปัญหาดินเสื่อมโทรมระดับโลก
การประชุมและความร่วมมือเหล่านี้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาดินเสื่อมโทรมที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในระดับโลก
- อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย (UNCCD) : ข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีภาระผูกพันทางกฎหมายนี้มุ่งเน้นการแปรสภาพเป็นทะเลทราย การเสื่อมโทรมของที่ดินและความแห้งแล้ง การประชุมภาคีที่ 16 (COP16) ของ UNCCD เพิ่งจัดขึ้นที่กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย โดยมีการอภิปรายสำคัญเกี่ยวกับการเสื่อมโทรมของดินและความจำเป็นในการดำเนินการร่วมกันในระดับโลก
- องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) : มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาดินเสื่อมโทรมผ่านโปรแกรมและการปฏิรูปต่าง ๆ ในงาน COP16 FAO ได้เน้นความสำคัญของการฟื้นฟูที่ดินทางการเกษตร เพื่อให้มั่นใจในความมั่นคงด้านอาหารและสนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพ
- ทศวรรษของการฟื้นฟูระบบนิเวศของสหประชาชาติ : โครงการนี้ประสานงานโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) และ FAO มุ่งมั่นป้องกัน หยุดยั้งและพลิกฟื้นการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ โดยรวมถึงการฟื้นฟูดินด้วย โครงการนี้กระตุ้นให้ประเทศต่าง ๆ ฟื้นฟูพื้นดินที่เสื่อมโทรมเพื่อปรับปรุงความหลากหลายทางชีวภาพและต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- องค์กรและโครงการเหล่านี้ เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อสู้กับการเสื่อมโทรมของดินและเพื่อความยั่งยืนของโลกในอนาคต
ตัวอย่างวิกฤติดินเสื่อมโทรมในหุบเขาอาร์ติโบนิต
ในหุบเขาอาร์ติโบนิต ประเทศเฮติ มีตัวอย่างที่ชัดเจนของวิกฤติการเสื่อมโทรมของดินที่ทำให้ไม่สามารถใช้ดินเพาะปลูกได้อีกต่อไป การทำการเกษตรที่ไม่ยั่งยืน การตัดไม้ทำลายป่าและการเลี้ยงสัตว์ที่มากเกินไป ทำให้เกิดการกัดเซาะดินอย่างรุนแรง ส่งผลต่อความอุดมสมบูรณ์ของดินและผลผลิตลดลงอย่างมาก
ชาวนาที่มีชีวิตคอยดูแลสวนของเธอในหุบเขาอาร์ติโบนิตเล่าว่า เมื่อก่อนพื้นดินที่นี่อุดมสมบูรณ์ พืชผลออกผลดีและมีความหลากหลายทางชีวภาพ ตอนนี้พืชบางชนิดไม่สามารถเติบโตได้อีกต่อไป เนื่องจากดินเสื่อมและการสูญเสียพื้นที่ป่า การตัดโค่นต้นไม้อย่างไม่ระมัดระวังทำให้ดินสูญเสียสารอาหารและระบบนิเวศถูกทำลาย
น้ำในแม่น้ำก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป การกัดเซาะดินทำให้เกิดการสะสมของตะกอนและมลพิษในแม่น้ำ ส่งผลเสียต่อคุณภาพน้ำดื่มและสิ่งมีชีวิตในน้ำ การเสื่อมโทรมของดินยังมีผลต่อก๊าซเรือนกระจก โดยการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
คนในชุมชนต้องเผชิญกับปัญหามากมาย เนื่องจากดินที่อ่อนแอ การซ่อมแซมถนนและอาคารต้องใช้งบประมาณสูง และต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติมากขึ้น
วิกฤตการเสื่อมโทรมของดินในหุบเขาอาร์ติโบนิต แสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนในการนำแนวทางการจัดการที่ดินที่ยั่งยืน การปลูกป่าใหม่และการดำเนินนโยบายที่ครอบคลุมเพื่อฟื้นฟูสุขภาพของดินและบรรเทาผลกระทบเชิงลบจากการเสื่อมโทรม