“ไข่ผำ” พืชจิ๋วสรรพคุณแจ๋ว ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ ณ ขณะนี้ ด้วยมีคุณค่าทางโภชนาการโดดเด่น โปรตีนสูง มาพร้อมกับวิตามินบี 12 ที่ไม่สามารถหาได้ง่ายๆ จากพืชทั่วไป ที่สำคัญเลี้ยงง่าย โตเร็ว ขายได้ราคาดีอีกด้วย
สำหรับเกษตรกรท่านใดสนใจเพาะเลี้ยงไข่ผำ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่มือเก่า ควรศึกษาวิธีการเพาะเลี้ยง และศึกษาการตลาดก่อนการเพาะเลี้ยง เพื่อให้การประกอบอาชีพเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด

โดยข้อสำคัญของการเพาะเลี้ยงไข่ผำนอกจากวิธีการเพาะเลี้ยงที่เหมาะสม สะอาด ได้มาตรฐาน ปลอดภัยต่อผู้บริโภคแล้ว เรื่องของสายพันธุ์ที่เลี้ยงถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญมากๆ หากเลือกสายพันธุ์ดีเหมาะสมกับพื้นที่ก็จะส่งผลดีทั้งในด้านให้ผลผลิตสูง ทนต่อสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศ ลดความเสี่ยงจากศัตรูพืชและโรคระบาด ปรับให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การใช้งาน ว่าต้องการนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์หรือต้องการนำไปบริโภคเป็นอาหารคน รวมถึงโปรตีนมีมากน้อยไม่เท่ากันในแต่ละสายพันธุ์

ปัจจุบันกรมวิชาการเกษตรเดินสายถ่ายทอดเทคโนโลยียกระดับเพาะเลี้ยงไข่ผำอาหารแห่งอนาคต ด้วยมาตรฐาน GAP และเพื่อให้การเพาะเลี้ยงไข่ผำได้คุณภาพและผลผลิตปลอดภัยต่อผู้บริโภค ได้มอบหมายให้กองวิจัยพัฒนาพืชเศรษฐกิจใหม่และการจัดการก๊าซเรือนกระจก ดำเนินการวิจัย พัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงไข่ผำที่เหมาะสมกับพันธุ์และสภาพพื้นที่ เพื่อให้ได้ผลผลิตสูง คุณภาพดีและมีคุณค่าทางโภชนาการตรงตามความต้องการของผู้บริโภคและตลาดเพื่อสุขภาพ โดยปัจจุบันสามารถวิจัยและพัฒนาพันธุ์ไข่ผำที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงได้จำนวน 3 สายพันธุ์ ได้แก่
1. สายพันธุ์ DOA1 เชียงราย(CRI1) มีโปรตีน 48.6%
2. สายพันธุ์ DOA2 นครราชสีมา (NMA1) มีโปรตีน 47.0%
3. สายพันธุ์ พะเยา (PYO1) มีโปรตีน 46.0%
เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ เกษตรกรและผู้ที่สนใจ ได้นำไปเพาะเลี้ยง สำหรับนำไปบริโภคและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงต่อไป