ปัจจุบัน Artificial Intelligence (AI) หรือปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถแสดงออกเลียนแบบสติปัญญาของมนุษย์ผ่านการเรียนรู้อัลกอริทึม (กระบวนการและระบบขั้นตอนที่ถูกตั้งไว้สำหรับการแก้ปัญหา) ให้เหตุผลและแก้ไขอัลกอริทึมนั้นๆ เพื่อปรับปรุงผลลัพธ์ให้ออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด ได้เข้ามาช่วยเพิ่มผลผลิตการเกษตรได้มากขึ้น ระบบ AI สามารถนำมาใช้เก็บข้อมูลและนำข้อมูลวิเคราะห์ ปรับปรุงขั้นตอนการทำการเกษตร โดยเกษตรกรในแคนาดาบางส่วนได้เริ่มนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้มากขึ้น
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เกษตรกรในแคนาดาได้เริ่มนำเทคโนโลยีมาใช้ในหลายรูปแบบ โดยบางรายนำอุปกรณ์ เช่น โดรน (Drone) มาใช้เพื่อสำรวจฟาร์มและค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับวัชพืช ศัตรูพืช และโรคต่างๆ ในจำนวนนี้มีองค์กร Emili ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรได้นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมการเกษตร มุ่งเน้นการพัฒนาและสนับสนุนนวัตกรรมในภาคเกษตรกรรม โดยองค์กรนี้ริเริ่มดำเนินการพัฒนาฟาร์มนวัตกรรม (Innovation Farm) ที่มีการทดสอบและสาธิตเทคโนโลยีใหม่ๆ ใกล้กับเมือง Winnipeg รัฐ Manitoba ซึ่งเป็นรัฐตั้งอยู่ในตอนกลางของแคนาดา
แนวทางการใช้ AI เข้ามาช่วยพัฒนาการเกษตรสามารถ
สรุป ได้ดังนี้
- การจำแนกและระบุประเภทศัตรูพืช
ความสามารถในการระบุและจำแนกประเภทศัตรูพืชไว้ตั้งแต่เริ่มนั้นเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความเสียหายของการเพาะปลูกพืชและยังช่วยลดการใช้ยาฆ่าแมลงได้ การใช้ประโยชน์ของฐานข้อมูลต่างๆ ในหลายมิติ อาทิ รายงานสภาพอากาศ ข้อมูลศัตรูพืชในอดีต และภาพถ่ายความละเอียดสูงที่ถูกจับภาพโดยโดรนหรือดาวเทียม โดยอัลกอริทึมของคอมพิวเตอร์จะอ่านและตรวจสอบเพื่อเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลที่รู้จักเพื่อคาดเดาสายพันธุ์ของศัตรูพืชที่แตกต่างกันได้ เพื่อใช้ป้องกันหรือเตรียมตัวรับมือกับสภาพอากาศ ศัตรูพืชที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่เพาะปลูก
ยกตัวอย่าง บริษัท Trapview (สหรัฐอเมริกา) เป็นบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยตรวจจับและระบุประเภทศัตรูพืชในการเกษตร โดยใช้สารฟีโรโมนสังเคราะห์เพื่อดึงดูดแมลงศัตรูพืชเหล่านี้ซึ่งจะถูกถ่ายภาพโดยกล้องที่ใช้ AI สามารถระบุชนิดของศัตรูพืชได้มากกว่า 60 ชนิด เช่น หนอนเจาะสมอฝ้าย ซึ่งเป็นแมลงที่ทำความเสียหายให้พืชหลายชนิด รวมถึงผักกาดหอมและมะเขือเทศ หลังจากที่ระบุชนิดของศัตรูพืชได้แล้ว ระบบจะใช้ข้อมูลตำแหน่งและสภาพอากาศเพื่อวางแผนผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากแมลงเหล่านี้ และทำการแจ้งเตือนผ่านแอพพลิเคชันให้แก่เกษตรกรได้ทันที ข้อมูลที่ได้จาก AI ช่วยให้สามารถดำเนินการแก้ไขที่เหมาะสมและทันท่วงที ลดความสูญเสียของผลผลิตและการใช้สารเคมีได้อย่างมาก บริษัท Trapview รายงานว่าลูกค้าของพวกเขาได้เพิ่มผลผลิตและคุณภาพของผลผลิตขึ้นถึงร้อยละ 5 และประหยัดค่าใช้จ่ายโดยรวมของลูกค้าในยุโรปได้ถึง 118 ล้านยูโร/ปี
- การตรวจสอบคุณภาพของดิน
ความสามารถในการติดตามและวิเคราะห์คุณภาพของดินอย่างต่อเนื่องถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าสภาพของผลผลิตที่เพาะปลูกสามารถเจริญเติบโตอย่างเหมาะสมและเป็นไปตามแนวทางปฏิบัติด้านการเกษตรที่ยั่งยืน การใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดเป็นสิ่งสำคัญในการรับรองว่าพืชได้รับสิ่งที่ต้องการอย่างพอดี (ไม่มากหรือน้อยเกินไป) ลดของเสีย และเพิ่มผลผลิต โดยข้อมูลจากเซ็นเซอร์ ในเครื่องจักรในฟาร์ม โดรน และดาวเทียมได้ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์สภาพดิน รวมถึงปริมาณความชื้น ระดับสารอาหาร และการมีอยู่ของเชื้อโรค
ตัวอย่างเช่น บริษัท CropX (นิวซีแลนด์) ได้พัฒนาระบบแพลตฟอร์มที่เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบดินโดยใช้ประโยชน์จากข้อมูลแบบ Real Time โดยติดตั้งเซ็นเซอร์เพื่อใช้ AI ในการตรวจสอบและเปรียบเทียบปัจจัยต่างๆ ที่สำคัญพร้อมกับวัดผลประสิทธิภาพ การเพาะปลูก ทำให้เกษตรกรได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประเภทของดินและค่าดัชนีของการเพาะปลูกพืชแบบ Real Time เพื่อปรับกลยุทธ์การจัดการผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ CropX รายงานว่าผลลัพธ์คือการใช้น้ำลดลง ร้อยละ 57 การใช้ปุ๋ยลดลงร้อยละ 15 และเพิ่มผลผลิตได้สูงสุดถึงร้อยละ 70
3) ฟาร์มนวัตกรรม (Innovation Farm)
ฟาร์ม Nature Fresh ในเมืองเลมมิงตัน รัฐออนแทริโอ พัฒนาระบบฟาร์มนวัตกรรม ที่ใช้หุ่นยนต์ช่วยเพาะปลูกมะเขือเทศ แตงกวา พริก และสตรอเบอรี่ โดยมีการติดตั้งเซ็นเซอร์หลายพันตัวในเรือนกระจกแต่ละแห่ง เทคโนโลยี AI นี้ เป็นอุปกรณ์ครบวงจรของการเพาะปลูกพืชแต่ละชนิด และยังสามารถปรับปรุงสภาพของฟาร์มในด้านต่างๆ เช่น ระบบการปรับให้แสงสว่างที่เหมาะสมสำหรับพืชแต่ละชนิด ระบบการจ่ายน้ำ รวมถึงระบบการเก็บเกี่ยวผลผลิต
จากข้อมูลการปลูกมะเขือเทศที่ฟาร์ม Nature Fresh เมื่อเมล็ดมะเขือเทศถูกปลูก เซ็นเซอร์จะทำหน้าที่คอยตรวจสอบการเจริญเติบโตของพืช และอัลกอริทึม AI จะคาดการณ์ความต้องการของพืชในแต่ละช่วงเวลา หากคาดการณ์ว่าอากาศจะร้อนขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จะมีการให้น้ำเพิ่มเติมในช่วงที่อากาศร้อนที่สุดของวัน เมื่อเซ็นเซอร์ที่ใช้ AI ตรวจสอบว่ามะเขือเทศมีขนาดและสีที่เหมาะสม ข้อความจะถูกส่งไปยังทีมงานต่อไป อีกทั้งเกษตรกรยังสามารถติดตามระบบข้อมูลตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างสมบูรณ์จากเมล็ดพืชถึงร้านค้า เช่น ใครเก็บเกี่ยวพืชแต่ละต้น มาจากแถวไหน ได้รับน้ำและแสงสว่างมากน้อยเพียงใด และหากมีปัญหาหรือข้อกังวล เกษตรกรสามารถระบุแหล่งที่มาของปัญหาได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องปิดหรือล็อกดาวน์ฟาร์มทั้งหมดหรือเรียกคืนผลผลิต (Product Recall) ทั้งล็อต กระบวนการที่สะดวกนี้ช่วยให้การดำเนินงานของฟาร์มนวัตกรรมมีข้อมูลเชิงลึกที่รวดเร็ว ช่วยให้ฟาร์มประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น
ความเห็นของ สคต.
การใช้เทคโนโลยี AI ในภาคการเกษตรในแคนาดาเริ่มมีบทบาทอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยสามารถนำเทคโนโลยีการเกษตรระดับสูงไปประยุกต์ใช้ โดย AI เป็นตัวเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้าด้วยกันเพื่อพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการเกษตร อาทิ การพัฒนาแพลตฟอร์มฐานข้อมูลทางอากาศที่ใช้ AI เพื่อให้เกษตรกรสามารถได้รับข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มและสภาพการเกษตรในระดับท้องถิ่นแบบ real time เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถทำความเข้าใจและปรับตัวต่อให้กับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง การวางแผนการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว การบริหารจัดการทรัพยากร (น้ำ ปุ๋ย แรงงาน) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ซึ่งอาจเป็นตัวอย่างให้ภาคการเกษตรไทยได้นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ โดยนอกจากจะสามารถลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรแล้ว ยังเป็นการช่วยให้ไทยสามารถพัฒนาด้านการเกษตรอย่างยั่งยืนด้วย
โปรดติดตามความเคลื่อนไหวในการค้าระหว่างประเทศผ่าน ช่องทางต่างๆ ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ www.ditp.go.th และ www.thaitrade.com หรือโทรปรึกษาเรื่องการค้าระหว่างประเทศที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โทร. 1169 (หากโทรจากต่างประเทศ โปรดติดต่อที่ โทร. +66 2792 6900)