นักวิจัย/เจ้าของนวัตกรรม/เจ้าของข้อมูล : สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
ที่มา ข้อมูลเบื้องต้น :
ปัจจุบัน เกษตรกรหลายแห่งได้ปรับเปลี่ยนมาใช้ระบบน้ำหยดในการให้น้ำแก่พืช ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการเกษตรรูปแบบใหม่ที่ช่วยจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การให้น้ำแบบนี้ช่วยให้พืชได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอ และเหมาะสมต่อการเจริญเติบโต
ระบบน้ำหยด สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเกษตรได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การปลูกพืช , ปลูกผัก , ทำไร่ , ทำสวน หลักการทำงานของระบบสายน้ำหยด คือ การส่งน้ำไปยังต้นพืชอย่างสม่ำเสมอผ่านท่อและหัวน้ำหยดที่ติดตั้งไว้บริเวณโคนต้น โดยน้ำจะถูกปล่อยออกมาเป็นหยดเล็ก ๆ อย่างช้า ๆ ตามจังหวะเวลาที่ตั้งไว้
ระบบน้ำหยด เหมาะกับการทำเกษตรหลายประเภท โดยเฉพาะการเกษตรที่ต้องการการใช้น้ำอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ ระบบนี้ให้ความแม่นยำในการส่งน้ำถึงรากพืช ทำให้เหมาะกับการเกษตรดังนี้
1. เกษตรแบบพืชสวน
เหมาะกับการปลูกผัก ผลไม้ และไม้ดอกไม้ประดับ เพราะระบบน้ำหยดช่วยส่งน้ำให้พืชแบบเฉพาะจุด ทำให้พืชได้รับน้ำสม่ำเสมอและลดการเกิดโรคจากความชื้นมากเกินไป
2. เกษตรแบบไร่
เหมาะสำหรับพืชที่ปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง หรือพืชพลังงานที่ต้องการน้ำเป็นระยะ โดยการให้น้ำจะเข้าถึงเฉพาะราก ลดการระเหยของน้ำและการชะล้างดิน
3. เกษตรแบบพืชเศรษฐกิจ
เหมาะสำหรับพืชที่มีมูลค่าสูง เช่น ทุเรียน มะม่วง องุ่น กาแฟ ที่ต้องการการดูแลอย่างละเอียด การให้น้ำแบบหยดช่วยให้พืชเหล่านี้ได้รับน้ำในปริมาณเหมาะสมและสม่ำเสมอ
4. เกษตรในโรงเรือนหรือการปลูกพืชในพื้นที่แห้งแล้ง
ระบบน้ำหยดเหมาะกับการปลูกพืชในสภาพอากาศที่มีน้ำน้อย เช่น การเกษตรในพื้นที่ทะเลทราย หรือการทำเกษตรในโรงเรือนที่ต้องควบคุมปริมาณน้ำอย่างแม่นยำ
5. เกษตรอินทรีย์
ระบบน้ำหยดช่วยลดการใช้น้ำปริมาณมากและลดความชื้นส่วนเกินที่อาจนำไปสู่การเกิดโรคและเชื้อรา ทำให้เหมาะกับการเกษตรอินทรีย์ที่ต้องการการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
ความสำคัญของปัญหา :
1. การให้น้ำพืชแบบเดิม/ปัจจุบัน ไม่สามารถควบคุมปริมาณน้ำในการปลูกพืช หรือรักษาระดับความชื้นในดินได้
2. พืชไม่ได้รับน้ำในปริมาณที่เหมาะสมตลอดเวลา ทำให้เกิดการสูญเสียน้ำจากการระเหยหรือการซึมลงดินลึกเกินไป
จุดเด่นนวัตกรรม :
1. ประหยัดน้ำ เนื่องจากน้ำถูกใช้ในปริมาณที่เหมาะสมโดยตรงกับต้นพืช
2. ลดต้นทุนการผลิต เพราะใช้น้ำน้อยกว่าระบบการให้น้ำแบบทั่วไป
3. ส่งเสริมผลผลิต เพราะสามารถควบคุมปริมาณน้ำ รักษาระดับความชื้นในดิน ทำให้พืชได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ
4. ลดการเกิดวัชพืช เพราะน้ำจะไปเฉพาะที่รากพืช ไม่แพร่กระจายไปทั่วพื้นที่
5. ช่วยให้พืชได้รับน้ำในปริมาณที่เหมาะสมตลอดเวลา ลดการสูญเสียน้ำจากการระเหยหรือการซึมลงดินลึกเกินไป
ราคาของระบบน้ำหยดเริ่มต้นที่ประมาณ 1,500-3,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่และวัสดุที่ใช้ หากเป็นชุดระบบน้ำหยดขนาดเล็กที่ออกแบบสำหรับพื้นที่ไม่เกิน 1 ไร่ ราคาจะเริ่มต้นที่ประมาณนี้ ซึ่งเกษตรกรสามารถเข้าถึงได้ในราคาที่ไม่สูงมาก และยังสามารถปรับแต่งตามความต้องการของพื้นที่ได้
อุปกรณ์ “ระบบน้ำหยด” หลักๆ จะมีอุปกรณ์ดังนี้
1. เครื่องสูบน้ำ หรือถังน้ำ ใช้สำหรับส่งน้ำให้กับระบบน้ำหยดและสร้างแรงดันน้ำที่เหมาะสม
2. หัวน้ำหยด ใช้สำหรับจ่ายน้ำและควบคุมอัตราการจ่ายน้ำ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ หัวน้ำหยดชนิดไม่ชดเชยแรงดัน ซึ่งสามารถปรับอัตราการจ่ายน้ำได้ และหัวน้ำหยดชนิดชดเชยแรงดัน ทำให้จ่ายน้ำได้สม่ำเสมอ
3. เครื่องกรองน้ำ ใช้ในการกรองตะกอนในน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้หัวน้ำหยดและอุปกรณ์ต่าง ๆ ของระบบน้ำหยดเกิดการอุดตัน ตัวอย่างเครื่องกรองน้ำสำหรับระบบน้ำหยด เช่น เครื่องกรองน้ำแบบตะแกรง เครื่องกรองนํ้าแบบทรายกรอง หรือเครื่องกรองน้ำแบบแผ่นดิสก์
4. ท่อประธานหรือท่อเมน เป็นท่อหลักที่ใช้ในการส่งน้ำไปยังท่อรองประธาน (Sub Line) และท่อแขนง (Lateral) ของระบบน้ำหยด
5. ท่อรองประธาน เป็นท่อส่งน้ำที่ต่อแยกออกมาจากท่อประธาน มีหน้าที่รับน้ำจากท่อประธานแล้วแบ่งน้ำออกเป็นส่วน ๆ เพื่อส่งต่อไปยังท่อแขนงอุปกรณ์คุมแรงดันน้ำ ใช้สำหรับควบคุมแรงดันน้ำภายในท่อแขนงให้คงที่ เพื่อให้น้ำออกจากหัวน้ำหยดทั้งทางต้นท่อและปลายท่อได้อย่างสม่ำเสมอ
ข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามที่ :
สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร(องค์การมหาชน)
เลขที่ : 2003/61 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900.
โทร : 02-579-7435 , 02-579-7235
E-mail :[email protected].