ค้นหา

“ส่องหาปูนิ่ม ด้วย AI” นวัตกรรมเพื่อผู้ผลิตปูนิ่ม

ผศ.ดร.เอกชัย เป็งวัง/ดร.รัตนชัย รมัยธิติมา/น.ส.บุณยาพร ปรีชาศุทธิ์ (น้องบีม) /น.ส.วรกาญจน์ ลาสุดี (น้องปีใหม่) /นายวิชาญ วิชญานุภาพ (น้องไบร์ท) /นายณพสัญญ์ จีระวัฒนะนนท์ (น้องออตโต้) /นายภูนุวัฒน์ บุญเกิด (น้องเตเต้) สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)  
เข้าชม 136 ครั้ง

นักวิจัย/เจ้าของนวัตกรรม/เจ้าของข้อมูล :
ผศ.ดร.เอกชัย เป็งวัง
ดร.รัตนชัย รมัยธิติมา
น.ส.บุณยาพร ปรีชาศุทธิ์ (น้องบีม)
น.ส.วรกาญจน์ ลาสุดี (น้องปีใหม่)
นายวิชาญ วิชญานุภาพ (น้องไบร์ท)
นายณพสัญญ์ จีระวัฒนะนนท์ (น้องออตโต้)
นายภูนุวัฒน์ บุญเกิด (น้องเตเต้)
สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)  

ที่มา ข้อมูลเบื้องต้น :
ประเทศไทยมีการส่งออกปูทะเลมากกว่าปีละ 6 พันล้านบาท ขณะที่มีฟาร์มเลี้ยงปูทะเลมีมากกว่า 5,000 ฟาร์ม เช่น ปูนิ่ม การเข้าไปแก้ไขจุดที่เป็นคอขวดของการทำปูนิ่ม ที่เป็นประโยชน์กับเกษตรกรผู้เลี้ยงปูทะเลได้จริงๆ จากเดิมต้องมีคนที่มีความเชี่ยวชาญในการดูปูลอกคราบ 5-6 คนต่อบ่อ ให้เหลือเพียง 1-2 คนต่อบ่อ เป็นการลดความเสี่ยงเรื่องการขาดแคลนแรงงานให้ชุมชนเกษตรกรที่สำคัญ คือ โดยมีนวัตกรรมที่ต่อยอดจากรูปแบบการเลี้ยงปูนิ่มที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้เกิดการยอมรับของชุมชนคนผลิตปูนิ่มได้อย่างตรงจุด ด้วย“ระบบตรวจจับและเก็บเกี่ยวปูนิ่มในการเลี้ยงระบบปิดแบบธรรมชาติ” นั้นเอง

ความสำคัญของปัญหา :  2 ถึง 3 ชั่วโมง คือ ช่วงเวลาทองที่ปูทะเลหลังลอกคราบจะต้องถูกนำขึ้นจากบ่อ เพื่อทำตัวเป็น “ปูนิ่ม” เพราะหากช้ากว่านี้ปูตัวนั้นจะดึงแร่ธาตุในน้ำเค็มมาสร้างกระดองแข็ง ทำให้เป็นภาระแก่เกษตรกรที่ต้องเลี้ยงรอการลอกคราบครั้งต่อไปอีกไม่น้อยกว่า 1 เดือน ที่สำคัญการใช้คนทำหน้าที่ส่องดูปูในตะกร้าทีละใบและทำอย่างต่อเนื่องนั้น นอกจากจะต้องใช้คนงานบ่อละหลายคนแล้ว จะมีโอกาสผิดพลาดหรือไม่เจอปูลอกคราบได้ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากเป็นฟาร์มปูทะเลขนาด 500,000 ตัว จะเป็นเงินที่ถูกปล่อยคืนบ่อไปเฉยๆ ถึงเดือนละ 864,000 บาท

จุดเด่นนวัตกรรม : สำหรับเครื่องต้นแบบของ “ระบบตรวจจับและเก็บเกี่ยวปูนิ่มในการเลี้ยงระบบปิดแบบธรรมชาติ” ที่น้องๆ ทีมปูนิ่มจิ้มซีฟู้ดส์ ใช้เวลาประมาณ 3 เดือนในการสร้าง จะเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่วิ่งไปเหนือแพเลี้ยงปู ที่มีตะกร้าใส่ปูแขวนไว้ในน้ำ เพื่อหาตะกร้าที่มีปูระยะลอกคราบ แล้วนำตะกร้านั้นมาส่งให้คนงาน ซึ่งส่วนที่สำคัญที่สุดของระบบนี้คือ “ระบบตรวจสอบด้วยกล้อง”

ซึ่งระบบสามารถใช้กับตัวบ่อและตัวแพ รวมถึงตะกร้าที่มีอยู่เดิม เพียงแต่เปลี่ยนจากการที่ใช้คนงานเป็นผู้ดึงหรือสาวแพปูเข้ามาเพื่อส่องดูด้วยตา มาเป็นการใช้ระบบรอกในการดึงแทน และมีกล้องอินฟราเรดบันทึกภาพปูในตะกร้า เพื่อส่งภาพให้ AI วิเคราะห์ว่าปูตัวนั้นอยู่ในช่วงลอกคราบหรือไม่ เพราะปูที่มีกระดองแข็งกับปูนิ่ม (ปูที่มีกระดองนิ่ม) จะมีค่าการสะท้อนแสงอินฟราเรดที่ต่างกัน รวมถึงหาก AI สามารถนับจำนวนวัตถุในภาพได้มากกว่า 1 ชิ้น ก็แสดงว่าในตะกร้านั้นมีปูที่ลอกคราบแล้วได้เช่นกัน

“จากการทดสอบให้ AI เรียนรู้และจำแนกภาพอินฟราเรดของปูทะเล ทั้งปูทั่วไปและปูระยะลอกคราบ 2,300 ภาพ พบว่า AI สามารถแยกแยะระหว่างปูปกติ กับปูลอกคราบได้อย่างแม่นยำ โดยมีค่าความถูกต้องสูงถึง 99 เปอร์เซ็นต์ และนอกจากจะวิเคราะห์หาปูนิ่มได้แล้ว ระบบยังมีการนำภาพที่ถ่ายล่าสุดกับภาพก่อนหน้ามาซ้อนทับกัน ซึ่งหากมันเหมือนกัน (ทับซ้อนกันสนิท) แสดงว่าปูตัวนั้นไม่มีการขยับตัวเลยทำให้สามารถแยกปูที่ตายออกจากบ่อได้รวดเร็วขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงจากการระบาดของโรค (หากมี) ได้อีกด้วย”

การทำให้ตัวอุปกรณ์กล้องและอุปกรณ์เก็บเกี่ยว วิ่งไปตามแพแต่ละแพนั้น รวมถึง “ระบบขับเคลื่อน” และ “ระบบยกตะกร้า” ที่จะมี “มือจับ” (Gripper) ทำหน้าที่ยกตะกร้าใส่ปู ที่ AI ระบุว่าเป็นปูนิ่ม หรือเป็นปูที่ตายแล้วขึ้นจากน้ำ และ “ระบบดึงแพ” ที่จะลำเลียงตะกร้าใบนั้นๆ มาที่ฝั่งเพื่อให้คนงานของฟาร์มจัดการต่อไป

“จากทดสอบใช้งาน ‘ระบบตรวจจับและเก็บเกี่ยวปูนิ่มในการเลี้ยงระบบปิดแบบธรรมชาติ’ ตัวต้นแบบ (Prototype) ที่สร้างขึ้นพร้อมกับบ่อเลี้ยงปูจำลอง ขนาด 1X2 เมตร ณ อาคาร FIBO จากเดิมที่การตรวจปูในบ่อปูจำนวน 2,000 กล่อง จะใช้เวลารอบละประมาณ 4-5 ชั่วโมง แต่ระบบใหม่นี้ใช้เวลารอบละ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้รอบตรวจถี่ขึ้น มีโอกาสเจอตะกร้าที่มีปูระยะลอกคราบมากขึ้น นอกจากนี้ ตัว AI ยังมีความแม่นยำในการแยกแยะระหว่างปูทั่วไปกับปูลอกคราบสูงถึง 95 เปอร์เซ็นต์”

สำหรับตัวต้นแบบที่มีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของตัวจริงนั้น นอกจากตัว AI ที่เป็น Open Source และตัวกล้องที่ผลิตจากต่างประเทศ วัสดุอุปกรณ์อื่นๆ ล้วนเป็นของที่หาได้ในประเทศแทบทั้งสิ้น โดยมีต้นทุนอยู่ที่ชุดละ 4 หมื่นบาท ซึ่งการผลิตจริงอาจมีราคาสูงกว่านี้เพราะต้องเปลี่ยนจากวัสดุอะลูมิเนียมไปเป็นวัสดุสเตนเลสที่ทนต่อความเค็มของน้ำได้ดีขึ้น แต่ราคาไม่น่าเกินชุดละ 1 แสนบาท แต่ที่สำคัญ คือ ระบบนี้สามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการฟาร์มปูนิ่มได้จริง

ข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามที่ : สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) 
126 ถนนประชาอุทิศ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร 10140

แชร์ :
ที่มาของเนื้อหา : https://www.technologychaoban.com/bullet-news-today/article_299920