พลอากาศเอกชลิต พุกผาสุข องคมนตรี เผยระหว่างลงพื้นที่ตรวจติดตามความก้าวหน้าการก่อสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือจังหวัดตาก ต.น้ำรึม อ.เมืองตาก จ.ตาก ว่า ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือจังหวัดตาก สร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งและบรรเทาภัยพิบัติใน 7 จังหวัดภาคเหนือ เชียงราย เชียงใหม่ ตาก แม่ฮ่องสอน พะเยา ลำปาง และลำพูน เพื่อทำฝนเติมน้ำต้นทุนให้กับเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ ได้แก่ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนแม่กวงอุดมธารา และเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล จ.เชียงใหม่ เขื่อนกิ่วลม เขื่อนกิ่วคอหมา และเขื่อนแม่มอก จ.ลำปาง โดยกรมฝนหลวงฯได้ขอใช้พื้นที่ราชพัสดุจากกรมธนารักษ์จัดสร้าง โดยมีกำหนดสร้างให้แล้วเสร็จภายในปีนี้
นายสำเริง แสงภู่วงค์ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวเสริมว่า ขณะนี้การก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วกว่า 96% เหลือเพียงงานระบายน้ำบ่อพัก งานถนนคอนกรีต งานอาคารสำนักงานที่อยู่ระหว่างงานปรับภูมิทัศน์ งานไฟฟ้าส่องสว่าง คาดว่าจะแล้วเสร็จ ภายในปี 2565 โดยศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือจังหวัดตาก จะเป็นศูนย์ปฏิบัติการฯ ทดแทนศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง จ.เชียงใหม่ เนื่องจากท่าอากาศยานตากตั้งอยู่ในพื้นที่ ที่ไม่ขัดขวางเส้นทางการบินพาณิชย์ สามารถรองรับภารกิจของกรมฝนหลวงฯได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความพร้อมในด้านอาคารสถานที่และโครงสร้างพื้นที่ ความยาวทางวิ่งของสนามบินมีระยะทางที่เหมาะสมในการขึ้น-ลงของเครื่องบินทำฝนหลวง และในอนาคตยังสามารถสร้างโรงเก็บและซ่อมบำรุงอากาศยาน เพื่อรองรับเครื่องบินที่มีในปัจจุบันและในอนาคต นอกจากนี้ยังเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับเป็นศูนย์การบินดัดแปรสภาพอากาศระดับสากลในอนาคตต่อไป
สำหรับผลการปฏิบัติการฝนหลวงประจำปี 2565 นับตั้งแต่เริ่มเปิดหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา มีการขึ้นบินปฏิบัติ การฝนหลวง ทั้งสิ้น 145 วัน รวม 1,702 เที่ยวบิน พบว่ามีฝนตกจากการปฏิบัติการ คิดเป็นร้อยละ 97.5 พื้นที่ที่ได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติ การฝนหลวง 174.3 ล้านไร่ มีฝนตกในพื้นที่ลุ่มรับน้ำ เขื่อนและอ่างเก็บน้ำรวม 58 แห่ง ปริมาณน้ำทั้งสิ้นรวม 142.9 ล้าน ลบ.ม. จึงเห็นได้ว่าจากการปฏิบัติการฝนหลวง สามารถบรรเทาปัญหาภัยแล้งให้แก่พี่น้องประชาชนในห้วงระยะเวลาที่ผ่านมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันมีฝนตกชุกหนาแน่น และมีพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมขัง ดังนั้น กรมจึงปิดหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงทั้งหมดเร็วขึ้น ตั้งแต่ 1 กันยายน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ แต่เพื่อให้การปฏิบัติการฝนหลวงที่ต้องอาศัยปัจจัยความชื้นสัมพัทธ์เป็นสิ่งสำคัญ และให้การปฏิบัติการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กรมจะยังคงหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็วไว้ 2 ชุด ณ สนามบินนครสวรรค์ ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม โดยใช้เครื่องบิน Casa จำนวน 2 ลำ และเครื่องบิน Caravan จำนวน 2 ลำ ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติการฝนหลวงเพิ่มปริมาณน้ำเหนือเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ แม้ขณะนี้ฝนจะตกชุกหนาแน่น แต่ปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพล หรือเขื่อนอื่นๆยังมีปริมาณไม่มากนัก เพื่อสำหรับเก็บกักไว้ให้รองรับกับความต้องการใช้น้ำของประชาชนในการอุปโภคบริโภค และทำการเกษตรในช่วงฤดูแล้งที่จะมาถึง หลังจากสิ้นสุดฤดูฝนในปีนี้.