ผู้เขียน ธาวิดา ศิริสัมพันธ์
“ผำ” หรือ “ไข่น้ำ” พืชพื้นบ้านติดทำเนียบอาหาร super foods ของโลก จึงได้รับฉายาว่า “Green Caviar” เพราะมีโภชนาการครบถ้วนสูงมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก อุดมไปด้วยวิตามิน โปรตีน แร่ธาตุ ไฟเบอร์ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย นิยมรับประทานกันมากในภาคเหนือและภาคอีสาน มีขึ้นอยู่ตามแหล่งน้ำที่เป็นน้ำนิ่ง เช่น บึงและหนองน้ำธรรมชาติทั่วไป โดยปกติจะมีมากในแหล่งน้ำธรรมชาติที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารเคมีเจือปน เนื่องจากผำธรรมชาติจะเจริญเติบโตแพร่พันธุ์ได้ดีก็ต่อเมื่อแหล่งน้ำนั้นเป็นน้ำสะอาด ปัจจุบันมีการนำมาเพาะเลี้ยงสร้างรายได้กันมากขึ้น
คุณกมลวรรณ รุ่งประเสริฐวงศ์ หรือ คุณแสบ เป็นชื่อที่พี่น้องในวงการเกษตรได้ให้ฉายา และเรียกติดปากกันมาจนชื่อ “แสบ” ได้กลายเป็นชื่อเล่นของเธอไปแล้ว ด้วยบุคลิกที่ดูขี้เล่น สนุกสนาน แต่ยังคงมีความน่ารัก และเป็นตัวของตัวเอง เป็นที่รักใคร่แก่ผู้พบเห็น บวกกับความสามารถของเธอคนนี้ ที่ถึงแม้ว่าจะอายุยังน้อย แต่ความสามารถด้านการเกษตรก็ไม่เป็นสองรองใคร นับเป็นอีกหนึ่งเกษตรกรหัวก้าวหน้าไม่หยุดอยู่กับที่ ด้วยการกลับมาพัฒนาสวนเกษตรผสมผสานของที่บ้านให้งอกเงย ทั้งในแง่มุมด้านการตลาด แปรรูปสินค้าสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงการริเริ่มเพาะเลี้ยงไข่ผำจนประสบความสำเร็จ เป็นที่แรกของเมืองกาญจน์ สร้างรายได้เลี้ยงครอบครัว สร้างรายได้สู่ชุมชนต่อเดือนไม่น้อย
คุณแสบ เล่าให้ฟังว่า หลังจากเรียนจบจากสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ก็กลับบ้านมาเป็นเกษตรกรอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยพื้นฐานเดิมที่บ้านทำการเกษตรอยู่แล้ว ประกอบกับที่ในช่วงปี 60 เป็นปีที่ตนเองเรียนจบพอดี ซึ่งในขณะนั้นวงการเกษตรกระแสมาแรงมาก จึงเป็นแรงจูงใจที่ทำให้อยากกลับมาทำเกษตร และได้มีการคิดตกตะกอนอีกขั้นหนึ่งแล้วว่า “หากกลับมาบ้านมาเป็นเกษตรกรเราไม่ต้องไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ เพราะที่บ้านวางรากฐานไว้แล้วส่วนหนึ่ง ส่วนเราเข้ามาพัฒนาต่อในด้านการตลาด การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้เกิดความมั่นคงมากยิ่งขึ้น”
ปัจจุบันคุณแสบเป็นเจ้าของ “ไร่แสงสกุลรุ่ง” ตั้งอยู่ที่ 111 หมู่ที่ 7 ตำบลกลอนโด อำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี ที่ถึงแม้ว่าที่บ้านจะมีพื้นฐานด้านการเกษตรมาอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอต้องทำเป็นทุกอย่าง เธอจึงต้องใช้พรแสวงในการหาความรู้ โดยการสมัครเป็นหนึ่งในสมาชิกยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ซึ่งที่นี่ก็เปรียบเสมือนกับโรงเรียนสอนการเกษตรชั้นดี เพราะเธอได้รับคำแนะนำดีๆ และได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากพี่น้องกลุ่มเครือข่ายเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ลงมือทำแล้วจริงๆ ทั้งคนที่เป็นเกษตรกรมือใหม่ และคนที่ประสบความสำเร็จเป็นผู้ประกอบการไปแล้ว จุดนี้ถือเป็นจุดสำคัญที่ช่วยสร้างแพชชั่นในการทำเกษตรของเธอให้มากขึ้น
โดยในช่วงเริ่มต้นการเป็นเกษตรกร คุณแสบ บอกว่า เธอเริ่มจากการกลับมาเก็บพืชผักผลไม้ของที่พ่อกับแม่ปลูกไว้ขายอย่างเดียว ด้วยที่บ้านทำในรูปแบบของเกษตรผสมผสาน แต่เปลี่ยนรูปแบบการขายจากเดิมที่บ้านจะขายแบบเน้นปริมาณ คือเน้นขายเหมายกสวน ทำให้ในบางครั้งได้ราคาไม่ดีเท่าที่ควร จึงได้นึกถึงคำแนะนำจากพี่น้องกลุ่มยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ๆ ว่าต่อไปเราจะไม่เน้นขายผลผลิตในปริมาณเยอะๆ แต่จะเน้นขายคุณภาพและการสร้างมูลค่าเพิ่มแทน จึงได้กลับมาคิดแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าเริ่มจากสิ่งง่ายๆ ก่อน คือการนำเอากล้วยน้ำว้าที่เหลือจากการขายเป็นหวี มาเป็นรูปทำกล้วยตากและผงกล้วย นับเป็นจุดเริ่มต้นของการทำเกษตรอย่างยั่งยืน
เพาะเลี้ยงไข่ผำ สร้างรายได้เสริม
กิจกรรมต่อยอดจากสวนผสมผสาน
การเพาะเลี้ยงไข่ผำ คุณแสบ อธิบายว่า ถือเป็นอาชีพเสริมที่เกิดจากการต่อยอดมาจากการทำเกษตรผสมผสาน ด้วยที่ไร่ของเราทำเกษตรเน้นทำแบบอินทรีย์ จึงทำให้เกิดไข่ผำ หรือที่เรียกว่าสาหร่ายน้ำจืด ซึ่งไข่ผำจะพบได้ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสานเป็นส่วนมาก ในแถบภาคกลางยังมีไม่มาก และแทบยังไม่มีคนรู้จัก รวมถึงที่สวนในตอนแรกก็ยังไม่รู้จักเหมือนกันว่าไข่ผำคืออะไร หรือมีประโยชน์อย่างไร จนวันหนึ่งมีคนในชุมชนมาขอช้อนไข่ผำที่เกิดจากแหล่งน้ำในสวนของเรา รอบแรกเขาช้อนไปรับประทาน รอบที่สองเขาช้อนไปขาย ตรงนี้เลยทำให้เราปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่าถ้าเขาขายได้ เราก็ต้องขายได้
“พอรู้แล้วว่าไข่ผำ ที่เกิดขึ้นในแหล่งน้ำของสวนเราสามารถขายได้ ระยะแรกเราก็ช้อนไข่ผำจากธรรมชาติไปขาย แต่พอเอาไปขายแล้วคนเมืองกาญจน์ไม่รู้จักว่าไข่ผำคืออะไร และมีหลายคนเข้ามาถามว่าไข่ผำที่เราเอามาขายสะอาดจริงๆ ใช่ไหม มีประโยชน์ยังไง ซึ่งด้วยความที่อยากขายสินค้า และอยากทลายกำแพงของลูกค้า ก็เลยมานั่งศึกษาค้นคว้า แล้วศึกษาไปมาจนรู้ว่าคุณประโยชน์ของผำมีอะไรบ้าง แล้วถ้าเราอยากทำให้มันดีมีคุณภาพจะต้องทำยังไง ก็เลยไปปรึกษากับพี่เกษตรกรท่านหนึ่งที่เขาเป็นผู้ผลิตจุลินทรีย์ ก็ช่วยกันคิดว่าถ้าจะเลี้ยงผำให้มีคุณภาพ และทำให้เป็นเชิงพาณิชย์มากขึ้นต้องทำยังไง พี่เขาเลยไปทดลองเลี้ยงให้ในห้องแล็บ แล้วเอาผลจากแล็บมาบอกเรา แต่ในระยะแรกผลวิจัยจากแล็บก็ยังไม่ได้สำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ต้องมาทดลองผิดลองถูกกันเอง จนกว่าจะจับจุดได้ก็ใช้ระยะเวลากว่า 1 ปี จนประสบความสำเร็จ ทำให้เราเป็นเจ้าแรกในกาญจนบุรี รวมถึงเป็นเจ้าแรกๆ ในประเทศ ที่ทำการเพาะผำในเชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นช่วงที่ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายผลักดันไข่ผำพืชน้ำของไทย “Green Caviar” ชูคุณค่าสารอาหารที่ให้โปรตีนสูงและมีสารต้านอนุมูลอิสระ ไข่ผำจึงกลายเป็นกระแสในปี 65 ที่โดดเด่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด” คุณแสบ กล่าวถึงจุดเริ่มต้นการเพาะเลี้ยงไข่ผำ
วิธีการเพาะเลี้ยงไข่ผำสร้างรายได้ไม่ยาก
ต้องปลอดภัยจากสารเคมี 100 เปอร์เซ็นต์
ก่อนที่จะไปเรียนรู้วิธีการเพาะเลี้ยงไข่ผำ คุณแสบ อธิบายถึงความน่าสนใจของการเพาะเลี้ยงไข่ผำให้ฟังว่า ไข่ผำเป็นพืชที่ไม่ต้องใช้การดูแลมาก สามารถทำเป็นอาชีพเสริมได้สบายๆ เพาะใช้เวลาในการเพาะเลี้ยงเพียง 2 สัปดาห์ สามารถเก็บผลผลิตขายได้ และยังเป็นพืชที่มีอนาคตสดใส ด้วยคุณประโยชน์ที่ครบถ้วน การตลาดของไข่ผำจึงไม่มีทางตัน สามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สร้างมูลค่าเพิ่มได้หลากหลาย แต่ในช่วงระยะแรกผู้เลี้ยงต้องทำใจก่อน เพราะว่าไม่ใช่ทุกคนที่เลี้ยงแล้วจะประสบผลสำเร็จเลย เนื่องด้วยปัจจัยทั้งสภาพภูมิอากาศของแต่ละที่ไม่เหมือนกัน จึงจำเป็นต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ และจับทางให้ถูกก่อน
วิธีการเพาะเลี้ยงไข่ผำ
รูปแบบการเพาะเลี้ยงของที่ไร่จะเป็นการเพาะเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ ขนาด 80 เซนติเมตร และขนาด 100 เซนติเมตร หากเป็นบ่อซีเมนต์ที่ซื้อมาใหม่ ให้นำมาล้างทำความสะอาดก่อนปล่อยไข่ผำลงไปเพาะเลี้ยง โดยการเอาต้นกล้วยมาตัดเป็นท่อนให้ขนาดพอสำหรับวางลงในบ่อซีเมนต์ได้ จากนั้นนำมูลวัวมาเททับต้นกล้วยลงไปจำนวน 1 กระสอบต่อบ่อ แล้วเปิดน้ำใส่บ่อแช่ทิ้งไว้ 3-4 สัปดาห์ แล้วปล่อยน้ำทิ้ง ตักเอามูลวัวและเอาต้นกล้วยออก จากนั้นล้างบ่อให้สะอาดอีกครั้ง โดยต้นกล้วยและมูลวัวจะช่วยกัดปูน แก้ด่างในบ่อซีเมนต์
เมื่อล้างบ่อซีเมนต์จนสะอาดแล้ว เติมน้ำใส่บ่อในอัตรา 3/4 ของบ่อ หากใช้น้ำประปาหรือน้ำบาดาล แนะนำให้พักน้ำไว้สัก 2-3 วัน ก่อนที่จะปล่อยพันธุ์ผำลงไป แต่ถ้าบ้านไหน ฟาร์มไหน มีเครื่องกรองน้ำ ก็สามารถปล่อยพันธุ์ผำลงไปเลี้ยงได้เลย
“ผำ” เป็นพืชที่ชอบแสงแดดรำไร หากจำเป็นต้องเพาะเลี้ยงกลางแจ้งแนะนำให้ใช้ซาแรนพรางแสงประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ หรือจะเลี้ยงในโรงเรือนระบบปิดก็สามารถทำได้เช่นกัน
การบำรุงธาตุอาหาร
อัตราการเติมธาตุอาหารต่อบ่อ ของที่ไร่จะใช้น้ำหมักปลาในอัตราส่วน 2 ช้อนโต๊ะต่อ 1 บ่อ เสร็จแล้วจึงค่อยใส่พันธุ์ผำลงไปปริมาณ 1/2 กิโลกรัมต่อบ่อ
หรือในกรณีที่ไม่มีในส่วนของน้ำหมักปลา ก็สามารถเลือกใช้น้ำหมักชนิดอื่นๆ ได้ เช่น น้ำหมักมูลไส้เดือน น้ำหมักมูลหมู น้ำหมักมูลวัว หรือจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงสามารถนำมาใช้ได้หมด แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละฟาร์ม
การดูแล
หลังจากที่ปล่อยพันธุ์ผำลงไปเพาะเลี้ยงได้ครบ 1 สัปดาห์ ให้ช้อนไข่ผำที่อยู่ในบ่อขึ้นมา เพื่อปล่อยน้ำทิ้งล้างทำความสะอาดบ่อ เสร็จแล้วให้เติมน้ำใส่บ่อเข้าไปใหม่ เติมธาตุอาหารลงไป ทำเหมือนเดิมกับครั้งแรกทุกอย่าง แล้วปล่อยพันธุ์ผำลงไปเลี้ยงอีก 1 สัปดาห์ ช้อนผำที่เลี้ยงทั้งหมดมาล้างน้ำทำความสะอาด 4 ครั้ง สำหรับนำไปจำหน่ายแบบสด
เท่ากับว่าการเพาะเลี้ยงไข่ผำใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์ แต่ถ้าในกรณีนำไปเพาะพันธุ์ต่อ ใช้เวลาเลี้ยง 1 สัปดาห์ ก็สามารถเอาไปเพาะพันธุ์ต่อได้แล้ว
ซึ่งการเพาะเลี้ยงไม่ยุ่งยาก แต่ปัจจัยสำคัญหรืออุปสรรคที่ทำให้ผู้เพาะเลี้ยงผำไม่ประสบความสำเร็จ คือปัจจัยอุปสรรคในด้านสภาพอากาศและสารเคมี ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้
1. อุปสรรคทางด้านสภาพอากาศ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนจะส่งผลกระทบทำให้ผลผลิตลดน้อยลง “ผำ” จะชอบอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 20-26 องศา ซึ่งถ้าอากาศร้อนไปกว่านี้จะส่งผลให้ปริมาณและอัตราการขยายตัวลดน้อยลง
2. สารเคมี ไม่ว่าจะเป็นยาฆ่าหญ้า หรือสารเคมีชนิดอื่นๆ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผำไม่เจริญเติบโต ผำถือเป็นพืชที่เซนซิทีฟต่อสารเคมี หรืออีกนัยหนึ่งคือ ผำถือเป็นดัชนีชี้วัดได้ว่าพื้นที่ตรงนั้นไม่มีการใช้สารเคมีจริงๆ ที่ถึงแม้ว่าต่อให้ในพื้นที่สวนของเราไม่ใช้ แต่สวนรอบข้างเราใช้ หรือมีคนอื่นมาฉีดพ่นสารเคมีในบริเวณใกล้เคียง ก็ส่งผลทำให้ผำไม่เจริญเติบโตและตายได้เช่นกัน
วิธีการเก็บเกี่ยวผลผลิตไข่ผำ
เมื่อเพาะเลี้ยงผำจนครบ 2 สัปดาห์ แล้ววิธีการเก็บไปขาย ให้เตรียมซึ้งนึ่งอาหารมาแล้วใช้ผ้าขาวบางรอง จากนั้นนำตาข่ายสีฟ้ามาวางทับผ้าขาวบางอีกชั้น แล้วช้อนผำขึ้นมาใส่ไว้ในตาข่ายสีฟ้า ใช้น้ำประปาล้างแล้วผำจะหล่นลงไปที่ผ้าขาวบางที่รองไว้ข้างล่าง พอได้ผำมาทั้งหมดให้นำไปล้างน้ำทำความสะอาดอีก 4 ครั้ง คือล้างแล้วบิด จนครบ 4 ครั้ง ถึงจะนำไปจำหน่ายได้
ปริมาณไข่ผำ ต่อ 1 บ่อ เก็บได้ประมาณ 2-3 กิโลกรัม แล้วแต่ฤดูกาล ปัจจุบันที่ไร่เลี้ยงอยู่ทั้งหมด 20 บ่อ คิดเป็นรายได้เฉลี่ยต่อบ่อ อยู่ที่ประมาณ 300-400 บาท ราคาไข่ผำสด ขายในราคากิโลกรัมละ 150 บาท และนอกจากการขายผำสดแล้ว ยังมีในส่วนของผำแปรรูป ทั้งในรูปแบบของคาวและของหวาน ได้แก่ ขนมจีนน้ำยาไข่ผำมรกต เสิร์ฟคู่กับขนมจีนเส้นสดทำจากผำ ถือเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของที่ไร่ หากใครมาแล้วต้องลิ้มลอง ข้าวเกรียบผำ เครื่องดื่มผำมัทฉะลาเต้ ผำเลม่อนโซดา ขนมปังกระเทียมไข่ผำ เป็นเมนูที่ทำจากผำที่นำไปอบแห้งออกมาเป็นผง, ทาร์ตผำ, ทองม้วนผำ และโจ๊กผำ เป็นเมนูเพื่อสุขภาพที่ทางไร่ภูมิใจนำเสนอมากๆ อีกตัวหนึ่ง รวมๆ แล้วที่ไร่สามารถสร้างรายได้จากผำได้ประมาณ 25,000-30,000 บาทต่อเดือน
อนาคตวางแผนส่งออก “ผำ” สู่ระดับโลก
“สำหรับตัวแสบเองมองไว้ว่าในอนาคตอยากเปิดบริษัทเกี่ยวกับผำโดยเฉพาะ และอยากเป็นผู้ประกอบการด้านผำเป็นเจ้าแรก อยากทำให้ผำเป็นสินค้าส่งออกระดับโลก ซึ่งในตอนนี้กำลังจะก้าวเข้ามาเป็นผู้ประกอบการ ทำให้เป็นธุรกิจมากขึ้น และตั้งเป้าหมายคือการส่งออกไปต่างประเทศ ให้เป็นแหล่งอาหารระดับโลก” คุณแสบ กล่าวทิ้งท้าย
สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทร. 091-753-6491 หรือติดต่อได้ที่ช่องทางเฟซบุ๊ก : ไร่แสงสกุลรุ่ง