ธ.ก.ส. เดินหน้าแก้หนี้ครัวเรือน พร้อมลดคาร์บอนภาคเกษตร สร้างรายได้ให้ชุมชน เผยผลงานไตรมาสแรกปีบัญชี 66 เติมทุนกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้วกว่า 7.4 หมื่นล้านบาท
ธ.ก.ส. มุ่งแก้หนี้ครัวเรือนทั้งระบบ ผ่านมาตรการมีน้อยจ่ายน้อย มีมากจ่ายมาก จูงใจการชำระหนี้ด้วยโครงการชำระดีมีโชค การให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการหนี้ผ่านโครงการมีหนี้นอกบอก ธ.ก.ส. พร้อมเติมทุนผ่านสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนและแก้ปัญหา Aging ลูกค้าด้วยสินเชื่อแทนคุณ โดยยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ย MRR สำหรับเกษตรกรรายย่อยในช่วงการฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจ ควบคู่กับการพัฒนาอาชีพ หนุนการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มทางด้านผลผลิตและบรรจุภัณฑ์ ต่อยอดความยั่งยืนด้วยโครงการ BAAC Carbon Credit หนุนระบบการซื้อ–ขายคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ สร้างรายได้ให้ชุมชนครั้งแรกในประเทศไทย เผยผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปีบัญชี 66 เติมทุนสู่ภาคชนบทไปแล้วกว่า 7.4 หมื่นล้านบาท
นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ได้วางนโยบายการขับเคลื่อนงาน ธ.ก.ส. ในการสานต่อเจตนารมณ์ “ธนาคารพัฒนาชนบทที่ยั่งยืน” ที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรและการปรับทิศทางสู่อุตสาหกรรมเกษตร เพื่อสร้างการเติบโตในทุกมิติ พร้อมนำทัพพนักงานกว่า 23,000 คนทั่วประเทศ ก้าวข้ามความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่เพื่อขับเคลื่อนภารกิจในด้านต่าง ๆ ทำให้ ธ.ก.ส. เป็น Essence of Agriculture [แกนกลางการเกษตร] โดยเริ่มจากการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนในภาคเกษตร ทำให้พี่น้องเกษตรกรก้าวพ้นกับดักหนี้และสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้อย่างมั่นคง ผ่านมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ในกลุ่มหนี้ที่มีปัญหา โดยใช้ฐานข้อมูลและเทคโนโลยีในการวิเคราะห์ข้อมูล การจัดกลุ่มลูกค้า การพัฒนาเครื่องมือและช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น เช่น การชำระหนี้ผ่านแอปพลิเคชัน A-Mobile Plus และBanking Agent เป็นต้น การจัดทำมาตรการมีมากจ่ายมาก มีน้อยจ่ายน้อย เพื่อรักษาวินัยในการชำระหนี้ ซึ่งภาพรวมจากการใช้มาตรการต่าง ๆ ทำให้อัตราหนี้ที่มีปัญหาลดลงอย่างต่อเนื่อง โดย ณ 30 มิถุนายน 2566 สามารถลด NPL ได้ 5,105 ล้านบาทโดยมีเกษตรกรที่ได้รับการแก้ไขปัญหาหนี้ไปแล้ว จำนวน 184,697 ราย จำนวนต้นเงินคงเป็นหนี้ 78,931 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังจูงใจลูกค้าที่ชำระหนี้ดีด้วยโครงการชำระดีมีโชค โดยลูกค้าที่ชำระหนี้ตรงตามกำหนดเวลา ธนาคารจะนำจำนวนดอกเบี้ยที่ชำระจริงทุก ๆ 1,000 บาท มอบเป็นสิทธิประโยชน์ในการชิงโชค รางวัลรวมมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 – 30 มิถุนายน 2567 จับรางวัลรวม 4 ครั้ง การให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการ ทั้งหนี้ในและนอกระบบผ่านโครงการมีหนี้นอกบอกธ.ก.ส. โดยสามารถแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้เกษตรกรลูกค้าและบุคคลในครัวเรือนให้กลับเข้ามาอยู่ในระบบของ ธ.ก.ส. ไปแล้วกว่า 710,123 ราย เป็นเงินกว่า 59,000 ล้านบาท
ในด้านเงินทุน ธ.ก.ส. พร้อมเติมสินเชื่อใหม่ภายใต้อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน เพื่อให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนในการผลิต พัฒนาคุณภาพและยกระดับผลิตภัณฑ์สู่ตลาดที่มีกำลังซื้อสูง เช่น สินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี สินเชื่อSME เสริมแกร่ง และสินเชื่อสานฝันสร้างอาชีพ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี เป็นต้นการเข้าไปแก้ไขปัญหา Aging ลูกค้า ธ.ก.ส. ซึ่งมีจำนวนประมาณ 35% ของลูกค้าทั้งหมด โดยจัดทำโครงการสินเชื่อแทนคุณ วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้าที่อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ที่มีหนี้อันเป็นภาระและมีความประสงค์จะโอนทรัพย์สินหลักประกันให้กับทายาท โดยเปิดโอกาสให้ทายาทเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขหนี้อย่างยั่งยืนและร่วมรักษาทรัพย์สินให้คงอยู่กับครอบครัว ตั้งเป้าทายาทเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 42,000 คน พร้อมตรึงอัตราดอกเบี้ย MRR ให้อยู่ที่ร้อยละ6.975 ต่อปี ต่อไป แม้ภาวะอัตราดอกเบี้ยในตลาดจะปรับเพิ่มสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายจากดอกเบี้ยให้กับลูกค้าและสนับสนุนการฟื้นตัวของเกษตรกรรายย่อยหลังสถานการณ์ Covid-19 และวิกฤตเศรษฐกิจ นอกจากนี้ธ.ก.ส. ยังพร้อมสนับสนุนองค์ความรู้ในการพัฒนาอาชีพให้กับลูกค้า โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาในการให้ความรู้ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม การตลาด รวมไปถึงการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม ทั้งด้านการดีไซน์ผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์เพื่อสร้างความหลากหลายให้กับสินค้าทางการเกษตร ควบคู่ไปกับการสร้างวินัยทางการเงินอย่างเป็นระบบด้วยการเตรียมความพร้อมให้เกษตรกรผู้สูงอายุได้เกษียณอายุอย่างมีคุณภาพ ผ่านการสนับสนุนการออมเงินที่มีคุ้มครองอุบัติเหตุ เช่น เงินฝากสงเคราะห์ชีวิต ธกส รักคุณ เป็นต้น อันเป็นการลดความเสี่ยงในกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝันที่อาจส่งผลกระทบต่อรายได้
ธ.ก.ส. ให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องภายใต้หลักการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนและภาคีเครือข่ายในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อมและการเติบโตภาคเกษตรตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดยได้ขับเคลื่อนภารกิจสีเขียว ทั้งในระดับชุมชน ภาคีเครือข่ายและองค์กร ได้แก่ โครงการธนาคารต้นไม้ ที่น้อมนำแนวพระราชดำริ ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง มาใช้ในการดำเนินงาน เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน โดยมีชุมชนทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการแล้ว 6,814 ชุมชน ปลูกต้นไม้ไปแล้วกว่า 12.4 ล้านต้น คิดเป็นมูลค่ากว่า43,000 ล้านบาท การยกระดับธนาคารต้นไม้สู่ชุมชนไม้มีค่า ซึ่งเป็นการนำผลิตผลจากต้นไม้มาสร้างมูลค่าเพิ่มและทำให้คนในชุมชนหันมาประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างรายได้ อาทิ การเพาะกล้าไม้ การนำวัตถุดิบจากไม้มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เช่นน้ำส้มควันไม้ สมุนไพร และเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งปัจจุบันมีชุมชนที่ยกระดับไปสู่ชุมชนไม้มีค่าแล้ว 404 ชุมชน และสร้างรายได้จากกิจกรรมดังกล่าวแล้วกว่า 116 ล้านบาท การประสานความร่วมมือกับคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในการให้ความรู้และสร้างผู้ประเมินมูลค่าต้นไม้ จำนวน 1,504 ราย ทำให้ชุมชนสามารถนำต้นไม้ที่ปลูกมาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจแล้วจำนวน 4.4 ล้านบาท และเพื่อตอบโจทย์วิถีชีวิตในยุคดิจิทัล และอำนวยความสะดวกให้กับสมาชิกธนาคารต้นไม้ธ.ก.ส. ได้พัฒนาแอปพลิเคชันธนาคารต้นไม้ (Tree Bank) เพื่อใช้ในการบันทึก รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลต้นไม้ โดยสามารถคำนวณมูลค่าต้นไม้และปริมาณในการกักเก็บคาร์บอนต้นไม้ได้อีกด้วย