ค้นหา

กาแฟฟ้าห่มปก อาราบิกาเชียงใหม่ 80 จากดอยสูง สร้างรายได้แก่เกษตรกรทะลุล้าน

ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเชียงใหม่
เข้าชม 479 ครั้ง

กรมวิชาการเกษตร ให้คำแนะนำเกษตรกร เพิ่มคุณภาพผลผลิต “กาแฟฟ้าห่มปก” กาแฟอาราบิกาพันธุ์เชียงใหม่ 80 จากโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามพระราชดำริฯ สร้างรายได้เกษตรกรทะลุหลักล้านต่อปี จนได้รางวัลโครงการพิเศษดีเด่นปี 66

นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามพระราชดำริ ดอยฟ้าห่มปก จังหวัดเชียงใหม่ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2544 เพื่อสนองพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการช่วยเหลือราษฎรให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แก้ไขปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกิน การบุกรุกทำลายป่าพื้นที่ต้นน้ำลำธารเพื่อปลูกพืชเสพติดการเกิดไฟป่าและการล่าสัตว์ตามแนวทางพระราชดำริ “คนอยู่ร่วมกับป่า”

กรมวิชาการเกษตรได้ร่วมเป็นคณะทำงาน วิเคราะห์พื้นที่เป้าหมายและร่วมกำหนดแนวทางการพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาตามภารกิจของหน่วยงานจากการวิเคราะห์พื้นที่พบว่าเกษตรกรมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต และขาดพืชที่มีศักยภาพที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ จึงได้มอบหมายให้ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเชียงใหม่ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 1 ดำเนินการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกกาแฟอาราบิกาพันธุ์เชียงใหม่ 80 เป็นพันธุ์ของกรมวิชาการเกษตร มีลักษณะเด่นให้ผลผลิตสูงและต้านทานโรคราสนิมร่วมกับป่าไม้ธรรมชาติยั่งยืน

ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเชียงใหม่ได้จัดฝึกอบรมการผลิตกาแฟอาราบิกาให้เกษตรกรพร้อมกับจัดทำแปลงต้นแบบเทคโนโลยีการผลิตกาแฟอาราบิกาพันธุ์เชียงใหม่ 80 พื้นที่ 1 ไร่ ขยายผลสู่แปลงกาแฟเกษตรกรจำนวน 15 ครัวเรือน โดยกระจายพันธุ์กาแฟอาราบิกาพันธุ์เชียงใหม่ 80 สู่เกษตรกรในพื้นที่โครงการฯ จำนวน 88,000 ต้น ในปี 2560 ได้ผลผลิตกาแฟกะลาปริมาณ 8.4 ตัน และผลผลิตเริ่มคงที่ในปี 2565 ปริมาณ 8.8 ตัน เกษตรกรมีรายได้จากการจำหน่ายกาแฟ 1.3 ล้านบาท/ปี คิดเป็น 86,160 บาท/ครัวเรือน/ปี ซึ่งเมื่อเทียบในปี 2560 เริ่มโครงการฯ ช่วงแรกเกษตรกรมีรายได้เพียง 60,069 บาท/ครัวเรือน/ปีเท่านั้น หรือมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการผลิตกาแฟ 1.4 เท่าจากการพัฒนาการผลิตกาแฟอย่างถูกต้องและมีคุณภาพจากการใช้พันธุ์และเทคโนโลยีของกรมวิชาการเกษตร ปัจจุบันพบว่าเกษตรกรทุกครัวเรือนมีการปลูกกาแฟเป็นแหล่งรายได้หลัก

นอกจากนี้ได้มีการขยายผลต้นกาแฟพันธุ์ดีและเทคโนโลยีการผลิตกาแฟของกรมวิชาการเกษตรโดยต่อยอดสู่ชุมชนใกล้เคียง ได้แก่ ชุมชนบ้านปู่หมื่นตำบลแม่สาว อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่จำนวน 91 ครัวเรือน พื้นที่ปลูกกาแฟ 100 ไร่ สร้างรายได้สู่ชุมชนปีละ 3 ล้านบาท และชุมชนบ้านหลายอาย อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 81 ครัวเรือนพื้นที่ปลูก 200 ไร่ สร้างรายได้สู่ชุมชนปีละ 6 ล้านบาท จากราคากาแฟกะลาไม่ต่ำกว่า 200 บาทต่อกิโลกรัมในปี 2566 ซึ่งเป็นราคาสูงที่สุดและปริมาณผลผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค

อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเชียงใหม่ ได้เข้าไปให้คำแนะนำเกษตรกรในพื้นที่ปลูกกาแฟพันธุ์เชียงใหม่ 80 และใช้ปุ๋ยตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร ตัดแต่งกิ่งที่แห้งไม่ให้ผลผลิตออกตัดฟื้นต้นทรงพุ่มกาแฟออกหมด หรือเกือบหมดทั้งทรงพุ่มตัดโคนต้นให้มีระดับสูงจากผิวดิน 30-50 เซนติเมตร หลังจากแตกกิ่งใหม่เลือกกิ่งที่สมบูรณ์แข็งแรงไว้ประมาณ 2-3 กิ่ง พร้อมวางกับดักและสารล่อมอดเจาะผลกาแฟ (เมทิลแอลกอฮอล์ : เอทิลแอลกอฮอล์ อัตราส่วน 1:1 อัตรา 5-10 จุดต่อไร่) และเติมสารล่อทุก 2 สัปดาห์ หากพบหนอนเจาะกิ่งกาแฟ/หนอนกาแฟสีแดง ให้ตัดกิ่งและลำต้นออกไปเผาทำลายนอกแปลง ส่วนโรคผลเน่าจากเชื้อแอนแทรคโนส ให้เก็บผลและตัดแต่งกิ่ง ใบ ที่เป็นโรคไปเผานอกแปลงปลูก

หลังเก็บเกี่ยวผลกาแฟตัดแต่งกิ่ง และให้ปุ๋ยบำรุงต้นเก็บเกี่ยวกาแฟเฉพาะผลสุก 80 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปที่มีสีแดงและสีเหลือง-เหลืองเข้ม โดยเก็บทีละข้อไม่เก็บแบบรูด สร้างโรงเรือนตากกาแฟและตากกาแฟกะลาบนแคร่ยกสูงมุงหลังคาพลาสติกใสไกลจากถนน จากความสำเร็จดังกล่าวทำให้โครงการ “กาแฟฟ้าห่มปก มรดกคู่ผืนป่า โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามพระราชดำริ ดอยฟ้าห่มปก จังหวัดเชียงใหม่” ได้รับรางวัลโครงการพิเศษดีเด่น ประจำปี 2566 ระดับดีมาก จากกรมวิชาการเกษตร.

แชร์ :
ที่มาของเนื้อหา : https://www.thairath.co.th/agriculture/agricultural-products/2735455