แนะเกษตรกรจัดการโรคเหี่ยวกล้วยหิน ทำลายต้นที่เป็นโรค ปลูกตามหลักวิชาการ เผยโรคเหี่ยวกล้วยหิน หเกิดจากเชื้อแบคทีเรียเข้าทำลายท่อน้ำท่ออาหาร ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปกับหน่อกล้วย
นายรพีทัศน์ อุ่นจิตตพันธ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กล้วยหิน เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับการจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ของจังหวัดยะลา มีถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณ 2 ฝั่งของแม่น้ำปัตตานี เนื่องจากทำเลทองแห่งนี้มีผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ มีความชื้นทั้งในดินและในอากาศสูงตลอดทั้งปี ทำให้ผลผลิตเป็นที่นิยมของผู้บริโภคและเป็นที่ต้องการของตลาด ปัจจุบันเกษตรกรได้มีการขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มมากขึ้นและพบการระบาดของโรคเหี่ยวกล้วยหิน โดยเฉพาะอำเภอยะหา ซึ่งมีพื้นที่ปลูก จำนวน 244 ไร่ พบการระบาดของโรคเหี่ยวกล้วยหิน ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นโรคระบาดที่แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว จำนวน 40 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 16 ของพื้นที่ปลูกทั้งหมด ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 7 ตำบล ได้แก่ ตำบลยะหา ตาชี ละแอ บาโร๊ะ ปะแต บาโงยซิแน และตำบลกาตอง เกษตรกรไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ผลผลิตกล้วยหินไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด สูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจ
กรมส่งเสริมการเกษตร โดยสำนักงานเกษตรอำเภอยะหา จึงได้ดำเนินการลดพื้นที่การระบาดของโรค ส่งเสริมให้เกษตรกรทำลายต้นกล้วยที่เป็นโรค และเพิ่มพื้นที่การปลูกกล้วยหิน จัดทำแปลงกล้วยหินปลอดโรค ตามหลักวิชาการ 6 ขั้นตอน ดังนี้
1. การเตรียมต้นพันธุ์กล้วยหิน คัดเลือกต้นพันธุ์ดี มีความสมบูรณ์ ปลอดโรคและแมลงศัตรูพืช ซื้อจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือ ห้ามนำต้นพันธุ์จากแปลงที่เป็นโรคมาปลูก
2.การเตรียมหลุมและบ่มดิน ขุดหลุมขนาด 50x50x50 เซนติเมตร โดยเว้นระยะห่างระหว่างหลุม 5 เมตร ใช้ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) กับปูนขาว อัตราส่วน 1:10 นำไปโรยให้ทั่วหลุมและรอบ ๆ หลุม กลบหลุมให้แน่นแล้วรดน้ำให้ชุ่ม ทิ้งไว้ 3 สัปดาห์ เพื่อฆ่าเชื้อในดิน
3. การปลูกกล้วยหิน แช่หน่อพันธุ์ในชีวภัณฑ์ BS-DOA 24 ที่ละลายน้ำ 10 ลิตร นาน 30 นาที ขุดเอาดินที่กลบหลุมออก หากมีเศษปูนขาวเหลืออยู่ให้นำออกไปทิ้ง จากนั้นรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยอินทรีย์ 2 กิโลกรัม นำหน่อพันธุ์ที่แช่ชีวภัณฑ์แล้ว ปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ กลบให้แน่นแล้วรดน้ำตามทันที
4.การใส่ปุ๋ย เดือนที่ 1,4,5 หลังปลูกใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ปริมาณ 100-150 กรัม/กอ เดือนที่ 2,3,6 หลังปลูกใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ปริมาณ 500 กรัม/กอ หลังจากต้นกล้วยแทงปลีใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ปริมาณ 1-2 กิโลกรัม/กอ
5. การดูแลรักษา กำจัดวัชพืชภายในแปลงอย่างสม่ำเสมอ ตัดแต่งกอกล้วยให้โปร่ง โดยไว้กอละ 3 – 5 ต้นต่อกอ และทางใบ 10 – 12 ใบต่อต้น รดด้วยชีวภัณฑ์ BS-DOA24 (อัตรา 25 กรัม ผสมน้ำ 10 ลิตร) เดือนละ 1 ครั้ง หลังจากนั้น 5 วัน รดด้วยเชื้อราไตรโคเดอร์มา (อัตรา 100 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร) ทำความสะอาดอุปกรณ์และเครื่องมือทางการเกษตรทุกครั้งด้วยน้ำยาฟอกผ้าขาว (ไฮเตอร์)
6. การห่อปลีและตัดปลี เมื่อต้นกล้วยออกปลี ให้ใช้ถุงตาข่ายห่อปลีกล้วยทันที และเมื่อปลีกล้วยพัฒนาเป็นหวีกล้วยระยะตีนเต่าให้ตัดปลีกล้วยออกจากเครือ นอกจากนี้ การเก็บเกี่ยวหลังจากกล้วยแทงปลี 3 – 4 เดือน จึงสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ โดยใช้พร้าที่จุ่มในน้ำยาฟอกผ้าขาว (ไฮเตอร์) ตัดลำต้นที่ความสูง 1/3 ของต้น เพื่อให้ต้นเอียงแล้วค่อยตัดเครือกล้วย เพื่อไม่ให้ผลผลิตช้ำ
ทั้งนี้ผลจากการดำเนินการขับเคลื่อนงานเพื่อแก้ไขปัญหาโรคเหี่ยวกล้วยหิน โดยการลงไปส่งเสริม สนับสนุน และถ่ายทอดความรู้ให้กับเกษตรกรของสำนักงานเกษตรอำเภอยะหา พบว่าแปลงกล้วยหินได้รับการฟื้นฟู มีพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามลำดับ ในขณะเดียวกันพื้นที่การระบาดมีแนวโน้มลดลงและคงที่ ทั้งนี้ อำเภอยะหาได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาโรคเหี่ยวกล้วยหินอย่างเป็นระบบตั้งแต่ ปี พ.ศ.2564 ปัจจุบันมีแปลงกล้วยหินปลอดโรค จำนวน 115 แปลง เกษตรกร 114 ราย พื้นที่ 131.5 ไร่ แปลงกล้วยหินปลอดโรคอำเภอยะหา เป็นแปลงต้นแบบที่ได้ดำเนินการตามหลักวิชาการ สามารถให้ผลผลลิตที่ปลอดโรค จำหน่ายให้กับวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านเจาะตีเม๊าะ ตำบลละแอ อำเภอยะหา จังหวัดยะลา และยังเป็นแหล่งดูงานให้ผู้ที่สนใจการปลูกกล้วยหิน ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาโรคเหี่ยวกล้วยหินในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับโรคเหี่ยวกล้วยหิน หรือ Banana blood disease มีสาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (Ralstonia solanacearum species complex) เข้าทำลายท่อน้ำท่ออาหาร ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปกับหน่อกล้วยที่มาจากกอที่เป็นโรค ดิน น้ำ แมลง อุปกรณ์ทางการเกษตร ยานพาหนะ และเกษตรกร ซึ่งเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้สามารถอาศัยอยู่ในดินได้เป็นเวลานาน ลักษณะอาการของโรค ใบธง (ใบอ่อน) แสดงอาการเหี่ยว ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ต่อมาใบอื่น ๆ แสดงอาการเหี่ยวเปลี่ยนเป็นเหลือง เมื่อตัดดูลักษณะภายในลำต้นเทียมจะเห็นท่อน้ำท่ออาหารเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ปลีกล้วยแคระแกร็น และหากติดผล ผลจะมีลักษณะเล็ก ลีบ เนื้อภายในจะเป็นสีน้ำตาลหรือดำ ถ้าอาการรุนแรงจะยืนต้นตาย ไม่สามารถเก็บผลผลิตได้