ที.เอ็ม.ซี อุตสาหกรรม จับมือ ทรัพย์ถาวร ไบโอแมส ดึงงานวิจัยต่อยอด พัฒนาใบอ้อยอัดเม็ด-อัดก้อน รายแรกของไทย โดยใช้เครื่องจักรสัญชาติไทย ราคาเอื้อมถึง ตอบโจทย์อุตสาหกรรมบีซีจี นอกจากลดการเผาอ้อยต้นตอ PM 2.5
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จ.สระบุรี ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) ในการพัฒนาเครื่องจักรผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ระหว่าง บริษัท ที.เอ็ม.ซี อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท ทรัพย์ถาวร ไบโอแมส จำกัด ณ ศูนย์เชื้อเพลิงและพลังงานจากชีวมวล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี มี นายธราพงษ์ วิทิตศานต์ ผู้อำนวยการศูนย์เชื้อเพลิงและพลังงานจากชีวมวล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จ.สระบุรี นายณัฏฐ์พงษ์ ปัญจวรญาณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที.เอ็ม.ซี อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) นายอภิวัฒน์ ถาวรแท้ ที่ปรึกษาอาวุธโส บริษัท ทรัพย์ถาวร ไบโอแมส จำกัด เป็นตัวแทนร่วมลงนาม
นายณัฏฐ์พงษ์ ปัญจวญาณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทที.เอ็ม.ซี อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงนามบันทึกความร่วมมือในการพัฒนาเครื่องจักรผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ระหว่าง บริษัท ที.เอ็ม.ซี อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท ทรัพย์ถาวร ไบโอแมส จำกัด และ ศูนย์เชื้อเพลิงและพลังงานจากชีวมวล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จ.สระบุรี ว่าปัจจุบันปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมรุนแรงมากขึ้น ในฐานะที่ บริษัท ที.เอ็ม.ซี อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) มีความชำนาญในเรื่องของเทคโนโลยีการผลิตเครื่องจักรระบบไฮดรอลิก สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ จึงถือโอกาสใช้ความชำนาญในอุตสาหกรรมมาพัฒนาเครื่องจักรที่มีอยู่ในปัจจุบัน มาช่วยในการลดปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ โดยเฉพาะการเผาวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรไม่ว่าจะเป็น ใบอ้อย ต้นข้าวโพด ทางปาล์ม ฯลฯ
ซีอีโอ บริษัท ที.เอ็ม.ซี อุตสาหกรรมฯ กล่าวต่อว่า ทีมวิจัยได้เข้าไปศึกษาว่ามีงานวิจัยทางวิชาการเกี่ยวกับการผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรที่สามารถแปรูปวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรให้มีมูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรมชั้นสูง และพบว่าศูนย์เชื้อเพลิงและพลังงานจากชีวมวล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จ.สระบุรี ทำเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว มีการตั้งศูนย์สระบุรีขึ้นมาเพื่อการวิจัยด้านการเกษตรเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงรูปแบบต่างๆ บริษัท ที.เอ็ม.ซี จึงเข้าไปขอใช้บริการทางวิชาการ โดยให้จุฬาฯ ช่วยถ่ายทอดงานวิจัยเพื่อผลิตเป็นเครื่องจักรกลการเกษตรแบบต่างๆ
นายณัฏฐ์พงษ์ กล่าวต่อว่า พร้อมกันนี้ ผู้อำนวยการศูนย์เชื้อเพลิงและพลังงานจากชีวมวล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จ.สระบุรี ได้แนะนำให้รู้จักกับผู้บริหาร บริษัท ทรัพย์ถาวร ไบโอแมส จำกัด ซึ่งมีความต้องการเครื่องจักรกลการเกษตรที่ผลิตโดยคนไทย มีนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจาก บริษัท ทรัพย์ถาวร ไบโอแมส จำกัด มีพื้นที่ปลูกอ้อยในจังหวัดเพชรบูรณ์จำนวนมาก พร้อมทั้งส่งเสริมชาวไร่ให้ร่วมปลูก โดยทางบริษัทฯ ก็ทำงานวิจัยร่วมกับจุฬาฯ ในการแปรรูปใบอ้อยเป็นผลิตภัณฑ์ใบอ้อยอัดเม็ด-อัดก้อน จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้ทั้งสองบริษัทมีความร่วมมือกัน
ซีอีโอ บริษัท ที.เอ็ม.ซี อุตสาหกรรมฯ กล่าวอีกว่า เนื่องจากบริษัท ที.เอ็ม.ซี มีความชำนาญในด้านการผลิตเครื่องจักรกล ส่วนบริษัท ทรัพย์ถาวร ไบโอแมส มีวัตถุดิบที่เป็นใบอ้อยที่ต้องการแปรรูป จุดเด่นของเครื่องจักรที่ผลิตจาก บริษัท ที.เอ็ม.ซี คือ ผลิตขึ้นจากงานวิจัยให้เหมาะสมกับวัสดุทางการเกษตรของไทย ด้วยการออกแบบเครื่องจักรให้เหมาะกับลักษณะและพฤติกรรมการเก็บเกี่ยวของบ้านเรา เพื่อความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ราคาถูกกว่าการนำเข้า และสามารถบริการหลังการขายด้านการบำรุงรักษาได้อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้ทำงานวิจัยร่วมกับจุฬาฯ มาปีเศษ เกี่ยวกับการผลิตเครื่องอัดเม็ดและอัดก้อนจากใบอ้อย มีการพัฒนาแก้ไขข้อบกพร่อง จนปัจจุบันถือว่าสมบูรณ์ 100% นำไปใช้แปรรูปใบอ้อยอัดเม็ด-อัดก้อนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ใช้เป็นพลังงานทางเลือกสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า หรืออุตสาหกรรมต่างๆ ลดปัญหามลพิษจากการเผาอ้อย
“ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกอ้อยมากกว่า 20 ล้านไร่ ถ้าสามารถแปรูรูปใบอ้อยโดยไม่มีการเผาได้ ปัญหา PM 2.5 ก็จะลดไปได้อย่างมาก ซึ่งจะเป็นแบบอย่างให้เกษตรกรกลุ่มอื่น เช่น ข้าว ข้าวโพด นำไปเป็นแนวทางปรับใช้ได้ด้วย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศและของโลก” นายณัฏฐ์พงษ์ กล่าว
ด้านนายอภิวัฒน์ ถาวรแท้ ที่ปรึกษาอาวุโส บริษัท ทรัพย์ถาวร ไบโอแมส จำกัด กล่าวว่า ปัญหาของการปลูกอ้อยในปัจจุบันคือการเก็บเกี่ยว การเก็บเกี่ยวอ้อยถ้าใช้คนเก็บเกี่ยวก็จะมีเรื่องการเผาเข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่มีรถตัดอ้อย ต้องใช้คนเก็บเกี่ยว จึงจำเป็นต้องเผา บริษัท ทรัพย์ถาวรฯ เป็นหนึ่งในกลุ่มชาวไร่ มีพื้นที่ปลูกอ้อยหลายพันไร่ในจังหวัดเพชรบูรณ์ ทางบริษัทมีรถตัดอ้อยเก็บเกี่ยว จึงไม่ได้มีการเผาอ้อย และยังสามารถนำใบอ้อยที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวขายให้กับโรงงานไฟฟ้าชีวมวล อีกสวนหนึ่งบริษัทก็รับซื้อใบอ้อยจากเกษตรกรในเครือข่ายด้วย
ที่ปรึกษาอาวุโส บริษัท ทรัพย์ถาวร ไบโอแมส จำกัด กล่าวต่อว่า แต่ปัญหาที่พบคือ การขนใบอ้อยเป็นฟ่อนๆ ไม่คุ้มกับต้นทุนการขนส่ง เนื่องจากรถบรรทุกน้ำหนัก 25 ตัน ใช้ขนใบอ้อยได้แค่ 17-18 ตันก็เต็มคันรถ ทางบริษัทจึงคิดว่าทำอย่างไรจึงจะแปรรูปใบอ้อยก่อนส่งขายให้โรงงานไฟฟ้าชีวมวล เพื่อสะดวกในการขนส่งและใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้ด้วย บริษัทได้รับคำแนะนำจาก สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ให้ไปดูงานวิจัยของศูนย์เชื้อเพลิงและพลังงานจากชีวมวล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จ.สระบุรี ซึ่งศูนย์วิจัยจุฬาฯ ได้ให้การบริกาวิชาการและวิจัยในการแปรูรูปชีวมวลเหลือทิ้งมาเป็นเชื้อเพลิงรูปแบบต่างๆ ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล
นายอภิวัฒน์ กล่าวอีกว่า งานวิจัยของจุฬาฯ ทำให้เราได้ผลิตภัณฑ์ใหม่คือ แปรรูปใบอ้อยเป็นใบอ้อยอัดเม็ดและอัดก้อน ถือเป็นรายแรกของประเทศไทยที่ทำผลิตภัณฑ์รูปแบบนี้ แม้การนำใบอ้อยไปผลิตกระแสไฟฟ้าจะมีมานานแล้ว แต่รูปแบบการใช้เป็นการนำใบอ้อยไปปนก่อนทำเป็นเชื้อเพลิง แต่ของทางบริษัทเป็นรูปแบบการอัดเม็ดหรืออัดก้อน ขนส่งสะดวก เก็บไว้ได้นาน มีความชื้นต่ำ และมีความหนาแน่น ใช้เป็นเชื้อเพลิงได้หลายประเภท ขณะที่ทาง บริษัท ทรัพย์ถาวร ไบโอแมส จำกัด ได้มีความร่วมมือกับ บริษัท ที.เอ็ม.ซี ทำให้บริษัททรัพย์ถาวรได้เครื่องจักรสำหรับแปรรูปใบอ้อยที่มีมาตรฐานจากงานวิจัย ราคาถูกกว่าการนำเข้า มีการบำรุงรักษาที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง บริษัท ที.เอ็ม.ซี เป็นบริษัทที่มีความสามารถในการสร้างและซ่อมบำรุงเครื่องจักรกลได้ดีและเป็นมาตรฐานสากล
“ถ้าบริษัท ที่.เอ็ม.ซี สามารถพัฒนาเครื่องจักรที่มีคุณภาพได้ทุกขนาดกำลังผลิต ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ราคาถูกลง คนไทยก็จะได้ประโยชน์ เพราะถ้าเครื่องอัดใบอ้อยมีมากขึ้น คนรับซื้อใบอ้อยมากขึ้น ก็ทำให้เกษตรกรได้ประโยชน์จากการขายใบอ้อย มีรายได้เพิ่มขึ้น และไม่ต้องเผาอ้อยให้เกิดเป็นมลพิษในอากาศ” เราอยากให้มีโรงงานแบบบริษัททรัพย์ถาวรฯ มากๆ ในประเทศ เพราะใบอ้อยเป็นวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ถ้านำมาทำประโยชน์ด้านพลังงานทางเลือกได้ ก็ช่วยลดการเผา ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ไม่ใช่ได้ประโยชน์เฉพาะชาวไร่ แต่ได้ทุกฝ่าย แม้กระทั่งประเทศชาติก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาทุกปี นอกเหนือจากไร่อ้อยยังสามารถนำไปปรับใช้กับวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรอย่างอื่น เช่น ข้าว ข้าวโพด ถ้ารัฐบาลสนับสนุนการซื้อเครื่องจักรเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ดีมาก” ที่ปรึกษาอาวุโส บริษัท ทรัพย์ถาวร ไบโอแมส จำกัด กล่าว
ขณะที่ นายธราพงษ์ วิทิตศานต์ ผู้อำนวยการศูนย์เชื้อเพลิงและพลังงานจากชีวมวล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จ.สระบุรี กล่าวว่า ศูนย์เชื้อเพลิงและพลังงานจากชีวมวล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จ.สระบุรี ให้บริการวิชาการและวิจัยในการแปรรูปชีวมวลเหลือทิ้ง มาเป็นเชื้อเพลิงรูปแบบต่างๆ เพื่อทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล ทำงานวิจัยเกี่ยวกับซีวมวลหลากหลาย โดยได้ทุนสนับสนุนจากรัฐบาลตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งปัญหาของชีวมวลประเภทหนึ่งเรียกว่า ‘ชีวมวลเบา’ เช่น ใบอ้อย ฟางข้าว ถ้าขนย้ายเพื่อนำไปทำพลังงานทางเลือกจะมีปัญหาค่ขนส่งแพง คนนำไปใช้ไม่คุ้ม โดยเฉพาะ ‘ใบอ้อย’ เป็นเชื้อเพลิงชีวมวลเบาชนิดหนึ่งที่มีการศึกษาที่ศูนย์วิจัยจุฬาฯ ที่สระบุรี มีแนวทางการแปรรูปอย่างไรเพื่อให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และช่วยส่งเสริมเกษตรกรไม่ให้เผาอ้อย
ผอ.ศูนย์เชื้อเพลิงและพลังงานจากชีวมวล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จ.สระบุรี กล่าวต่อว่า สุดท้ายได้แนวคิดที่ว่าชีวมวลเบาทุกชนิดจำเป็นจะต้องทำให้เป็นชีวมวลหนาแน่นก่อน จึงได้มีการทดลองผลิตเป็นเชื้อเพลิงแข็งหนาแน่นประเภทอัดเป็นเม็ด อีกประเภทคือ อัดเป็นก้อน ทางศูนย์วิจัยจุฬาฯ ศึกษาเรื่องนี้เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว สุดท้ายเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ไบโอชาร์และถ่านกัมมันต์ สำหรับการนำใบอ้อยมาอัดเป็นเม็ดและเป็นก้อนได้ ที่มีความหนาแน่นมากขึ้น ทำให้ได้ประโยซน์ในการขนส่งในรูปอัดเม็ดและอัดก้อนเพิ่มขึ้นเกือบ 1 เท่าตัว ที่สำคัญเชื้อเพลิงนี้มีความชื้นต่ำ เก็บรักษาได้นาน การป้อนเชื้อเพลิงเข้าห้องเผาไหม้ทำได้ง่าย ไม่เกิดฝุ่นขณะการป้อน นอกจากนี้ใบอ้อยอัดเม็ด หรืออัดก้อน ยังสามารถเผาเป็นถ่านที่เรียกว่าไบโอชาร์ สามารถนำไปใช้เพื่อคิดเป็นคาร์บอนเครดิตได้ นี่คือปลายทางที่จะได้จากการแปรรูปดังกล่าว
“ศูนย์วิจัยจุฬาฯ ที่สระบุรี วิจัยเรื่องนี้อยู่แล้ว เมื่อบริษัท ทรัพย์ถาวร มาดูโครงการที่สระบุรีก็สนใจมาก เนื่องจากบริษัท ทรัพย์ถาวรฯ มีใบอ้อยประมาณ 1 แสนตันต่อปี ซึ่งปกติบริษัทฯ ขายเป็นฟ่อน ยิ่งไกล ค่าขนส่งยิ่งแพง บริษัทจึงต้องการแปรรูป ซึ่งการอัดเม็ดหรืออัดก้อนจะทำให้ชีวมวลมีความหนาแน่นคงทนกว่าเป็นฟ่อน และเก็บได้นาน ขณะเดียวกัน บริษัท ที.เอ็ม.ซี ก็มาดูโครงการผลิตเครื่องจักรกลในรูปแบบที่ใช้กับโครงการบีซีจีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กลายเป็นว่าบริษัทหนึ่งต้องการแปรรูปใบอ้อย อีกบริษัทสามารถผลิตเครื่องจักรกลการเกษตร มาเจอกัน จึงนำความต้องการและจุดแข็งมาร่วมมือกัน ด้วยวัตถุประสงค์ คือ การพัฒนาเครื่องจักรเพื่อผลิตเชื้อเพลิงจากชีวมวลนั่นเอง” นายธราพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย.