สวทช.จับมือพันธมิตร เปิดตัวโครงการ ‘ชริมป์การ์ด’ ที่ใช้สารชีวภาพป้องกันและควบคุมเชื้อแบคทีเรีย Vibrio spp. ที่ก่อโรคในลูกกุ้ง ทำให้เกิดการดื้อยาปฏิชีวนะ ชี้ การใช้ “แบคทีริโอฟาจ” เป็นชีววิธีกำจัดเชื้อที่ก่อโรคในกุ้งได้แบบเฉพาะเจาะจง อีกทั้งปลอดภัยกับแบคทีเรียที่มีประโยชน์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับทีมวิจัยจาก กรมประมง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก และ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แถลงข่าวเปิดโครงการความร่วมมือ ‘ชริมป์การ์ด’ (ShrimpGuard): การพัฒนาสูตรผสมของแบคทีริโอฟาจ (bacteriophage) หรือ ฟาจ (phage) และสารเสริมชีวนะเพื่อต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรีย Vibrio spp. ที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะในกุ้งเลี้ยง’ หรือ ‘ชริมป์การ์ด’ โครงการนี้ได้รับทุนสนับสนุนจำนวน 41,605,962 บาท จากศูนย์วิจัยการพัฒนาระหว่างประเทศ (International Development Research Centre: IDRC) ประเทศแคนาดา และกระทรวงสาธารณสุขและสังคม (Department of Health and Social Care) แห่งสหราชอาณาจักร ระยะเวลาดำเนินการ 32 เดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 ถึงเดือนธันวาคม 2569
นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า การเพาะเลี้ยงกุ้งเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญสำหรับประเทศกำลังพัฒนารวมถึงประเทศไทย โดยมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร ประเทศไทยเคยเป็นผู้ผลิตกุ้งรายใหญ่อันดับสองของโลก โดยมาจากการเพาะเลี้ยงกุ้งในประเทศมากกว่า 90% แต่ในช่วงหลังนี้ประเทศไทยเสียส่วนแบ่งตลาดให้ประเทศคู่แข่ง เช่นเวียดนาม และจีน เนื่องจากโรคระบาดในกุ้ง การปนเปื้อนของยาปฏิชีวนะต่างๆ การห้ามส่งออก และนโยบายการค้าที่ไม่เอื้ออำนวย
ปลัดกระทรวง อว. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกยังทำให้การแพร่ระบาดของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระหว่างการเพาะเลี้ยงมีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและอัตราการรอดของกุ้ง และนำไปสู่ความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง ปัจจุบันโรค Vibriosis ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Vibrio spp. นับเป็นหนึ่งในปัญหาหลักที่ทำให้กุ้งตายในฟาร์มเลี้ยงและโรงเพาะฟัก เกษตรกรจึงอาจใช้ยาปฏิชีวนะหรือสารเคมีเพื่อควบคุมเชื้อและป้องกันโรค แต่การใช้ยาที่ไม่เหมาะสม หรือเกินขนาดอาจนำไปสู่ปัญหาเชื้อแบคทีเรียดื้อยา การแพร่กระจายของเชื้อดื้อยาและยีนดื้อยาในสภาพแวดล้อม รวมถึงการตกค้างของยาปฏิชีวนะในเนื้อกุ้ง
นายชูกิจ ลิมปิจํานงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า การพัฒนาทางเลือกเพื่อลดปัญหาการติดเชื้อดังกล่าวในการเพาะเลี้ยงกุ้งถือเป็นเรื่องเร่งด่วน ทีมนักวิจัยของ สวทช. นำโดย ดร.กัลยาณ์ ศรีธัญญลักษณา-แดงติ๊บ นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยสุขภาพสัตว์น้ำ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หรือ ไบโอเทค สวทช. และหัวหน้าโครงการ ‘ชริมป์การ์ด’ จึงได้ร่วมกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกรมประมง ดำเนินโครงการ ‘ชริมป์การ์ด’ ที่นับเป็นก้าวสำคัญที่จะมีส่วนช่วยพลิกโฉมแก่อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งให้มีความยั่งยืน ด้วยการลดการพึ่งพายาปฏิชีวนะแบบดั้งเดิม
ดร.กัลยาณ์ ศรีธัญญลักษณา-แดงติ๊บ หัวหน้าโครงการ ‘ชริมป์การ์ด’ กล่าวว่า ทีมวิจัยได้ร่วมกันดำเนินโครงการที่มุ่งพัฒนาสารชีวภาพที่เราเรียกว่า ‘ชริมป์การ์ด’ ซึ่งเป็น แบคทีริโอฟาจ (bacteriophage) หรือ ชีวภัณฑ์ที่พัฒนาจากไวรัสที่มีประสิทธิภาพในการเข้าทำลายเชื้อแบคทีเรีย โดยทีมวิจัยได้คัดเลือกสายพันธุ์ที่ก่อโรคในกุ้งได้อย่างจำเพาะเจาะจง (Targeted) โดยไม่ส่งผลกระทบต่อแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในระบบการเลี้ยงกุ้งและในลำไส้กุ้ง ภายใต้โครงการนี้ ‘ชริมป์การ์ด’ จะถูกพัฒนาให้ใช้ได้ทั้งในน้ำเลี้ยงกุ้งและในสูตรอาหารกุ้ง โดยใช้นาโนเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความคงตัวของ ‘ชริมป์การ์ด’
ด้าน รศ.ดร.กิติญา วงษ์คำจันทร์ โอราน ภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หัวหน้าโครงการร่วมในโครงการวิจัยนี้ อธิบายว่า สำหรับการพัฒนาสูตรอาหารกุ้งจะพัฒนา ‘ชริมป์การ์ด’ ร่วมไปกับการพัฒนาสารชีวภาพอื่นอีก 3 ชนิด ที่มีรายงานการวิจัยว่าสามารถกระตุ้นให้เกิดความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันของกุ้ง ในการต้านการก่อโรคของเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย สูตรอาหารดังกล่าวจะนำไปใช้ระหว่างการเลี้ยงลูกกุ้งเพื่อป้องกัน และควบคุมเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงที่เกิดขึ้นระหว่างการเลี้ยง
หัวหน้าโครงการร่วมฯ กล่าวต่อว่า ‘ชริมป์การ์ด’ จะเป็นสารชีวภาพที่นำมาใช้ในการป้องกันและควบคุมเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในระหว่างการเพาะเลี้ยงกุ้งที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะเป็นการช่วยลดการใช้ยาปฏิชีวนะที่เป็นต้นเหตุของการเกิดเชื้อดื้อยาในการเลี้ยงกุ้ง สามารถพัฒนากุ้งพรีเมียมปลอดโรค ปลอดภัยและปราศจากยาปฏิชีวนะเพื่อยกระดับสุขภาพที่ดีของผู้บริโภค นอกจากนี้โครงการยังให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายการสนับสนุนแนวทางการใช้สารชีวภาพทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะ หรือสารเคมีในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล ร่วมกับกลุ่มประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลาง ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล
ดร.กัลยาณ์ หัวหน้าโครงการ ‘ชริมป์การ์ด’ กล่าวว่าโครงการวิจัยนี้จะพัฒนาเครือข่ายการทำงานร่วมกับศูนย์เครือข่ายสุขภาพสัตว์น้ำแห่งอาเซียน (ASEAN Network on Aquatic Animal Health Centres: ANAAHC) ที่มีประเทศไทยโดยกองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ กรมประมง เป็นผู้นำศูนย์เครือข่าย และโครงการวิจัยนี้ยังมีคณะที่ปรึกษาประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและระบบเฝ้าระวังเชื้อดื้อยาในสัตว์น้ำจากองค์กรทั้งในประเทศ และระดับนานาชาติ ได้แก่ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) องค์การข่ายงานศูนย์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแห่งเอเชียและแปซิฟิก (NACA) และศูนย์พัฒนาการประมงแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAFDEC) อีกด้วย
ดร.กัลยาณ์ กล่าวด้วยว่า ผลสำเร็จจากโครงการวิจัยนี้จะได้รับการเผยแพร่ผ่านเครือข่ายความร่วมมือภาครัฐ เช่น กรมประมง และภาคเอกชน เพื่อการถ่ายทอดเทคโนโลยีและข้อมูลแก่เกษตรกรในประเทศ โดยเน้นไปที่การใช้เป็นแนวทางที่สามารถทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะในการเพาะเลี้ยงกุ้ง เพื่อนำไปสู่การเพิ่มผลผลิตและการสร้างกระบวนการเพาะเลี้ยงที่ยั่งยืนและอาหารปลอดภัยในระยะยาว.