กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร แนะวิธีปลุกอ้อยให้รายได้ดี เผยดินที่เหมาะสมที่จะปลูกอ้อยควรเป็นพื้นที่ราบถึงพื้นที่ลอนลาดที่มีความชันไม่เกิน 3% และเป็นที่ดอนหรือที่ลุ่มไม่มีน้ำท่วมขัง
นายอนุสรณ์ เทียนศิริฤกษ์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปฐพีวิทยา กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร (กวก.) กล่าวว่า ช่วงต้นปี 2567 เกิดความแห้งแล้ง ฝนทิ้งช่วงในบางพื้นที่ ทำให้ผลผลิตอ้อยเฉลี่ยต่อไร่ลดลง ทั้งปีคาดมีปริมาณมี 85.78 ล้านตัน มูลค่าการผลิตรวม 123,311.50 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย (ม.ค. – มิ.ย.) 1,438 บาท/ตัน กลุ่มวิจัยปฐพีวิทยา มีหน้าที่แนะนำการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน เป็นการใช้ปุ๋ยให้ตรงกับระดับความอุดมสมบูรณ์ของดิน เหมาะสมตามความต้องการของอ้อย สามารถใช้ปุ๋ยได้ถูกอัตรา
ทั้งนี้ ดินที่เหมาะสมที่จะปลูกอ้อยควรเป็นพื้นที่ราบถึงพื้นที่ลอนลาดที่มีความชันไม่เกิน 3% และเป็นที่ดอนหรือที่ลุ่มไม่มีน้ำท่วมขัง ความสูงไม่เกิน 1,500 เมตรจากระดับทะเลปานกลาง พื้นที่ปลูกอ้อยควรอยู่ในรัศมี 50 กิโลเมตรจากโรงงาน ไม่อยู่ในแหล่งมลพิษ ต้องมีโครงสร้างดี ควรมีเนื้อดินร่วนปนทรายถึงร่วนเหนียว ค่าความเป็นกรด-ด่างของดิน (pH) เป็นกรดจัดถึงด่างเล็กน้อย (5.5-7.5) อินทรียวัตถุ 1.5-2.5 % ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ 10-20 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ 80-150 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เป็นต้น
ดังนั้นหากพื้นที่ปลูกอ้อยเป็นดินทรายหรือร่วนปนทรายโดยทั่วไปจะมีอินทรียวัตถุในปริมาณต่ำ ควรปรับปรุงดินด้วยวัสดุอินทรีย์ เช่น กากตะกอนหม้อกรองอ้อย 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นต้น การไถกลบเศษซากพืช หรือ การปลูกพืชตระกูลถั่วที่สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศ เช่น การปลูกปอเทือง ถั่วมะแฮะ ถั่วพร้า ถั่วพุ่ม และถั่วขอ เป็นต้น โดยหว่านเมล็ดอัตรา 8 – 10 กิโลกรัมต่อไร่ แล้วไถกลบก่อนปลูกอ้อย 2 – 4 สัปดาห์ กรณีที่ดินมีค่าความเป็นกรด-ด่างของดิน ต่ำกว่า 5.6 ควรปรับปรุงดินด้วยปูนขาวหรือปูนโดโลไมต์100 กิโลกรัมต่อไร่ กรณีดินทรายถึงดินร่วนปนทรายที่มีค่าความเป็นกรดด่างของดิน ต่ำกว่า 5.6 ควรปรับปรุงดินด้วยปูนโดโลไมต์100 กิโลกรัมต่อไร่ ร่วมกับการใช้กากตะกอนหม้อกรอง 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ ช่วยเพิ่มผลผลิตอ้อยได้ถึง 30 – 50 %
“การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินเป็นการใช้ปุ๋ยให้ตรงกับระดับความอุดมสมบูรณ์ของดินและความต้องการธาตุอาหารของอ้อย ผลวิเคราะห์ดินสามารถบอกถึงปริมาณธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์กับพืชว่าอยู่ในระดับใด เพื่อเป็นแนวทางการใช้ปุ๋ยที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสมตามความต้องการของพืช สามารถใช้ปุ๋ยได้ถูกอัตรา ช่วยลดต้นทุนค่าปุ๋ย 20% จากต้นทุนปุ๋ยที่มีสัดส่วนประมาณ 30% ของต้นทุนการเพาะปลูกอ้อย”
สำหรับการวิเคราะห์ตัวอย่างดิน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้รู้ปริมาณแร่ธาตุในดินเมื่อได้รับผลวิเคราะห์ตัวอย่างดินแล้ว นำค่าที่ได้มาพิจารณาร่วมกับตารางคำแนะนำการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินของอ้อย เพื่อนำไปพิจารณาอัตราการใช้ปุ๋ยต่อการเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของอ้อยให้เหมาะสม
ส่วนวิธีการเก็บตัวอย่างดิน รายละเอียดดังนี้คือ 1. แบ่งแปลงเก็บตัวอย่างดินตามสภาพของพื้นที่ ชนิดดิน ความลาดเอียงของพื้นที่เพื่อให้พื้นที่มีความสม่ำเสมอ ขนาดพื้นที่ 5-10 ไร่ต่อแปลง 2. เก็บตัวอย่างดินให้ทั่วพื้นที่อย่างน้อย 5-10 จุดต่อแปลง ที่ความลึก 0-20 เซนติเมตร 3. นำตัวอย่างดินมาคลุกให้เข้ากัน และแบ่งใส่ถุงประมาณ 1 กิโลกรัม พร้อมบันทึกรายละเอียดตัวอย่าง เช่น สถานที่เก็บตัวอย่าง เป็นต้น และ 4. นำตัวอย่างดินส่งวิเคราะห์ตามหน่วยงานที่รับวิเคราะห์ตัวอย่างดิน
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรควรมีการเก็บตัวอย่างดินหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตมาวิเคราะห์ในทุก ๆ ปี เพื่อทราบระดับความอุดมสมบูรณ์ของดิน การปรับปรุงดิน และการจัดการธาตุอาหารที่เหมาะสมในปีต่อ ๆ ไป โดยสามารถส่งตัวอย่างดินมาวิเคราะห์ได้ที่ กลุ่มวิจัยเกษตรเคมี กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กรุงเทพฯ หรือสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 1-8 หรือศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรทั่วประเทศ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร