สนค. ติดตามสถานการณ์ส่งออกสินค้าไทยไปอียูภายใต้ มาตรการ EUDR ของอียู พบการส่งออกสินค้า 7 กลุ่มสินค้าภายใต้มาตรการ EUDR ยังส่งออกได้ดี โดยเฉพาะยางพารา ไม้ และปาล์มน้ำมัน
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ติดตามสถานการณ์การส่งออกสินค้าภายใต้กฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า หรือ EUDR (EU Deforestation Regulation) ครอบคลุม 7 กลุ่มสินค้า คือ โกโก้ กาแฟ ถั่วเหลือง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน โค และไม้ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปของสินค้าเหล่านี้ EUDR
โดยสินค้าไทยไปสหภาพยุโรป (อียู) พบว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 มูลค่าการส่งออกมีการขยายตัวดี และยังสามารถขยายตัวได้สูงกว่าการส่งออกไปโลก โดยไทยส่งออกสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการ EUDR ไปอียู รวมมูลค่า 379.47 ล้านดอลลาร์ (มูลค่าของสินค้าโดยใช้พิกัดศุลกากรตามที่ระบุใน Regulation (EU) 2023/1115) ขยายตัว 49.94% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า เรียงลำดับตามมูลค่าการส่งออกสูงสุด ดังนี้
1. ยางพารา 314.82 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 51.67 %
2. ไม้ 49.06 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 24.71 %
3. ปาล์มน้ำมัน 11.85 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 488.80 %
4. โกโก้ 3.56 ล้านดอลลาร์ หดตัว 10.15 %
5. กาแฟ 0.18 ล้านดอลลาร์ หดตัว 6.54 %
6. ถั่วเหลือง 0.001 ล้านดอลลาร์ หดตัว 44.37 %
ส่วนโคเป็นสินค้าที่ไทยไม่มีการส่งออกไปอียู
สำหรับสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรก รวมกันคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 99.01 % ของมูลค่าการส่งออกสินค้าภายใต้มาตรการ EUDR จากไทยไปอียู (ยางพารา ไม้ และปาล์มน้ำมัน มีสัดส่วน 82.96 % 12.92 % และ 3.12 % ตามลำดับ ซึ่งมูลค่าการส่งออกสินค้าทั้ง 3 กลุ่มไปอียู มีการขยายตัวดีกว่ามูลค่าการส่งออกไปโลก ดังนี้ 1.การส่งออกยางพาราไปอียู ขยายตัวถึง 51.67 % ขณะที่การส่งออกยางพาราไปโลก ขยายตัว 30.86% 2. การส่งออกไม้ไปอียู ขยายตัว 24.71 % ขณะที่การส่งออกไม้ไปโลก ขยายตัว 5.48% และ 3. การส่งออกปาล์มน้ำมันไปอียู ขยายตัว 488.80 % ขณะที่การส่งออกปาล์มน้ำมันไปโลก หดตัว 20.15 %
แม้ว่าปัจจุบัน การส่งออกกลุ่มสินค้าที่อยู่ภายใต้กฎหมาย EUDR จากไทยไปอียู ยังมีสัดส่วนไม่มาก เมื่อเทียบกับการส่งออกจากไทยไปโลก มีสัดส่วน 7.65 % ของมูลค่าการส่งออกไปโลก แต่การขยายตัวที่ดีแสดงให้เห็นถึงโอกาสและศักยภาพของไทย ที่จะสามารถปรับตัวและส่งออกสินค้าภายใต้ EUDR ไปยังอียูได้มากขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ มาตรการ EUDR จะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 30 ธันวาคม 2567 ซึ่งผู้ประกอบการไทยอาจต้องเผชิญกับต้นทุนในการตรวจสอบย้อนกลับห่วงโซ่การผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต จึงจำเป็นต้องวางแผนปรับตัวและเตรียมการให้พร้อม เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ราบรื่นภายใต้กฎระเบียบการค้าใหม่ของอียู การเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่เพียงแต่เป็นความท้าทาย แต่เป็นโอกาสที่สำคัญสำหรับไทยที่จะพัฒนาคุณภาพสินค้าและสร้างความยั่งยืนในการทำธุรกิจด้วย