นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดี กล่าวในเวทีเสวนาฯว่าทั่วโลกมองว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำลายสิ่งแวดล้อมมาตลอด ก่อให้เกิดการลดลงความหลากทางชีวภาพ ทำให้ทั่วโลกมาคุยกันเพื่อลดอุณหภูมิของโลก ส่งผลให้ตัวอนุสัญญาต่างประเทศต่าง ๆ ทยอยออกมาเป็นลำดับ และ 195 ประเทศทั่วโลกได้ร่วมลงนามรับรองกันเมื่อครั้งการประชุมภาคีสมาชิกอนุสัญญา สหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 หรือ COP 21 อย่างไรก็ตามข้อตกลงการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศพัฒนาแล้วฝ่ายเดียวคงจะไม่พอ เพราะมีประเทศกำลังพัฒนาปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่สูง คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) หรือคณะวิทยาศาสตร์ของโลก ระบุว่าถ้าเราไม่สามารถกดอุณหภูมิให้ตํ่ากว่า 1.5 องศาหรืออย่างน้อย 2.5 องศา จำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในศตวรรษนี้ให้ตํ่ากว่า 2 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม จะทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงจนไม่สามารถกลับมาสู่จุดเดิมได้ ซึ่งประเทศไทยได้นำข้อตกลงปารีส 2016 ความตกลงปารีส ซึ่งเป็นความตกลงระหว่างประเทศฉบับใหม่เกี่ยวกับการเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้รับมติเห็นชอบจากการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 21 (COP 21) มากำหนดนโยบายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพื่อนำประเทศไปสู่สังคมคาร์บอนตํ่า
“หลังจากประเทศไทยได้ไปลงนามในที่ประชุมคอป 26 เพื่อจะเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์หรือเน็ตซีโร่ในปี 2065 ซึ่งในปี 2030 ที่จะถึงประเทศไทยตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 30% โดยภาคที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงคือภาคพลังงาน และขนส่ง โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีหน้าที่กำกับควบคุมว่า แต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่ากระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรมได้นำแผนไปปรับใช้ได้อย่างไร ขณะที่เป้าเหมายการปรับก๊าซเรือนกระจกในปี 2035 จะเป็นปีที่ท้าทายยิ่งกว่า เพราะการประชุมคอป 28 ที่ดูไบ สืบเนื่องจากข้อตกลงปารีสไม่สามารถลดอุณหภูมิของโลกได้ 1.5 องศา จึงมองว่าเพิ่มความท้าทายนั่นหมายความว่าปี 2035 จะต้องเพิ่มการลดก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นอาจถึง 60% ก็อาจเป็นได้”
นายปวิช กล่าวว่า กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กำลังจัดทำเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกฉบับที่ 2 (Nationally Determined Contribution : NDC) ได้เชิญทุกภาคส่วนมาคิดว่าจะลดเป้าหมายไปที่ 60% ได้หรือไม่ โดยใช้เทคโนโลยี หรือความช่วยเหลือจากต่างประเทศมาช่วยเหลืออย่างไรได้บ้าง เพราะเป้าหมาย NDC ฉบับที่ 1 ประเทศไทยใช้ความช่วยเหลือจากต่างประเทศประมาณ 6-10% รวมถึงการแลกเปลี่ยนคาร์บอนเพื่อไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน แต่สิ่งเหล่านี้ประเทศไทยในฐานะประเทศกำลังพัฒนา จะเปลี่ยนหน่วยงานภายในประเทศด้วยกำลังความสามารถของประเทศเป็นไปได้ยาก เพราะการปรับเปลี่ยนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อไปสู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกในระดับที่ตํ่า ค่อนข้างจะใช้เงินงบประมาณที่สูง ดังนั้นการประชุมคอปที่ 29 (COP ครั้งที่ 29 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-22 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน) ที่กำลังจะเกิดขึ้น หัวข้อการหารือจะว่าด้วยเรื่องการใช้เงินลงทุนเพื่อปรับเปลี่ยนระบบการผลิตรวมทั้งการใช้เทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน นอกจากนี้ประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนาจะต้องหารือเรื่องเชื่อมโยงเทคโนโลยีระหว่างกัน เพราะว่าการลดก๊าซเรือนกระจกโดย CBAM (มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป) จะถูกบังคับใช้แล้วในยุโรป
รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่าสำหรับเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยลดก๊าซเรือนกระจกตามข้อตกลงได้ ต้องใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ขณะนี้กรมฯ อยู่ระหว่าง ร่างพ.ร.บ.เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ สาระสำคัญจะดูความสมดุลของอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่สูงว่า สามารถจัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้หรือไม่ อาจต้องมีการรายงานว่าทุก ๆ ปีถึงสิทธิการปล่อยได้ในปริมาณเท่าไร รวมทั้งพิจารณาดูว่าองค์กรนั้น ๆ ได้ทำเต็มที่แล้วในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือไม่ นั้นหมายความรูปแบบการซื้อคาร์บอนเครดิตอาจไม่ตอบโจทย์ ซึ่งภาคการผลิตอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในขบวนการผลิตต่าง ๆ นั้นต้องลดให้ได้ก่อนแล้วจึงจะมีสิทธิที่ซื้อคาร์บอนเครดิตมาใช้