การเลี้ยงปลาสลิดเป็นอาชีพดั้งเดิมของครอบครัวที่สืบทอดมา 10 กว่าปี แม้ช่วงแรกจะให้ผลกำไรดี แต่เมื่อปริมาณปลาในตลาดเพิ่มขึ้น ราคาปลากลับลดลง เกษตรกรหลายรายเผชิญกับภาวะขาดทุนรวมไปถึงคุณพ่อวีระ ที่ขาดทุนต่อเนื่องถึง 3 ปี จนกระทั่งคุณยุ้ย-คุณแชมป์ เกิดแนวคิดที่จะเพิ่มมูลค่าด้วยการแปรรูปปลาสลิด พร้อมทั้งพัฒนาระบบการเลี้ยงและการผลิตให้ได้มาตรฐาน
พูดถึง “ปลาสลิด” หลายคนคงนึกถึงบางบ่อ แต่รู้ไหมว่า “บ้านแพ้ว” ตอนนี้ขึ้นแท่นแหล่งเลี้ยงปลาสลิดที่ใหญ่ที่สุด และถ้าได้เห็นกรรมวิธีการผลิตของ “ปลาสลิดเกษตรพัฒนา” บอกเลยว่าต้องอยากซื้อแน่นอน เพราะใส่ใจทุกขั้นตอน ตั้งแต่เลี้ยงจนถึงมือผู้บริโภค ได้ปลาสลิดสด คุณภาพ ได้มาตรฐาน อย. รับรองถูกใจสายกิน
คุณยุ้ย-อุมารินทร์ เกตพูลทอง รองประธานวิสาหกิจชุมชน ปลาสลิดเกษตรพัฒนา จากอดีตพนักงานประชาสัมพันธ์โรงพยาบาล สู่เส้นทางใหม่ที่ไม่ธรรมดา ผันตัวมาพัฒนา “ปลาสลิด” ให้ได้คุณภาพมาตรฐาน สร้างรายได้ให้กับชุมชน
คุณยุ้ยเล่าความหลังว่า “เมื่อก่อนไม่ทานปลาสลิดเลย เวลาเห็นปลาสลิดในตลาดวางบนกระด้ง มีแมลงวันบินว่อน บางครั้งก็เห็นไข่แมลงวันเกาะอยู่บนตัวปลา ทำให้ไม่กล้ากินตั้งแต่นั้นมา แต่พอกลับมาช่วยที่บ้านที่เลี้ยงปลาสลิด เลยคิดว่า ถ้าเราทำให้ปลาสลิดของเรา สด สะอาด และปลอดภัยได้ ต้องเปลี่ยนความรู้สึกคนกินได้แน่ๆ นี่แหละค่ะ จุดเริ่มต้นของกระบวนการผลิตปลาสลิดที่เราภูมิใจ”
คุณพ่อวีระ เล่าถึงจุดเริ่มต้นที่หันมาทำธุรกิจปลาสลิด “ในตอนแรก พ่อทำเกษตรแต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ จึงเริ่มมองหาทางเลือกใหม่และคิดว่าเศรษฐกิจการเลี้ยงปลาสลิดน่าจะมีอนาคต เพราะเห็นว่าหลายคนเลี้ยงแล้วได้ผลดี ประกอบกับบ้านแพ้วมีน้ำที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับการเลี้ยงปลา จึงตัดสินใจลองเริ่มเลี้ยงปลาสลิด และเมื่อแต่ละบ่อประสบความสำเร็จ การเลี้ยงปลาสลิดจึงกลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในทั้งอำเภอ”
ซึ่งพ่อจะให้ความสำคัญกับน้ำในบ่อมาก โดยจะรักษาน้ำให้สะอาดอยู่เสมอและไม่ใช้สารเคมีอย่างเด็ดขาด เพราะน้ำที่สะอาดเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเลี้ยงปลาสลิด ปลาจะกินอาหารได้ดีและเติบโตอย่างมีคุณภาพ พ่อจะใส่จุลินทรีย์ลงในน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง เพื่อช่วยรักษาคุณภาพน้ำให้สะอาดและไม่มีปัญหากลิ่นสาบโคลน จุลินทรีย์จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญที่บ่อปลาสลิดของพ่อจะขาดไม่ได้
“ปัญหาขาดทุนของเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาสลิดเกิดจากต้นทุนอาหารสัตว์ที่มีราคาสูง ซึ่งเรทราคาอาหารสัตว์จะเริ่มต้นที่ 650 บาทต่อกระสอบ แต่อย่างที่ฟาร์มจะใช้ต้นทุนค่าอาหารสัตว์ราคา 690 บาทต่อกระสอบ เมื่อลงทุนเลี้ยงปลาสลิดในบ่อหนึ่ง จะต้องใช้ต้นทุนรวมเกือบ 2 ล้านบาท ซึ่งผลผลิตที่ได้จากบ่อจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 กิโลกรัม ต่อรอบการเลี้ยง” คุณพ่อวีระ กล่าว
หลายคนที่ทานปลาสลิด มักจะสงสัยว่า “ปลาสลิดทำไมถึงไม่มีหัว” วันนี้เรามีคำตอบ!
ปลาสลิดเป็นปลาที่ส่วนหัวไม่มีเนื้อ จึงไม่มีประโยชน์ในแง่การบริโภค ต่างจากปลาช่อนที่มีเนื้อบริเวณแก้มและคาง แต่พ่อได้นำหัวปลาสลิดมาใช้ให้เกิดประโยชน์โดยทำเป็นปุ๋ยหมักสำหรับใส่สวน ซึ่งกลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติที่มีคุณภาพดีมาก
ความท้าทายของเกษตรกรปลาสลิด กำไรที่ไม่แน่นอนท่ามกลางการแข่งขันสูง
ในวงการเลี้ยงปลาสลิด การกำหนดราคาขายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกร โดยส่วนใหญ่แม่ค้าจะเป็นผู้กำหนดราคาปลาสลิดที่รับซื้อจากบ่อ ซึ่งราคามักไม่แน่นอนและขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ขนาดของปลา หากเป็นไซต์ใหญ่และจำนวนปลาน้อย ราคาก็อาจสูงขึ้น แต่เมื่อถึงช่วงที่มีการจับปลาสลิดพร้อมกันทั่วประเทศ ราคากลับลดต่ำลงตามปริมาณปลาในตลาด ทำให้เกษตรกรได้รับราคาที่ถูกลงตามไปด้วย
สำหรับฟาร์มปลาสลิดแต่ละบ่อ จะใช้ระยะเวลาเลี้ยงประมาณ 8-9 เดือน ตั้งแต่เริ่มเพาะลูกปลาจนถึงจับขาย เมื่อราคาปลาในตลาดลดต่ำลง กำไรที่ได้กลับอยู่เพียง 2-3 แสนบาทต่อปีต่อบ่อ แม้จะดูเป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับต้นทุนและเวลาที่ลงทุนไป ก็ยังถือว่าเป็นความท้าทายที่เกษตรกรต้องเผชิญอยู่เสมอ
ดังนั้น การมองหาวิธีเพิ่มมูลค่าปลาสลิด เช่น การแปรรูปหรือสร้างมาตรฐานที่ดีขึ้น อาจเป็นทางออกที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถควบคุมราคาขายและสร้างรายได้ที่มั่นคงมากขึ้นในระยะยาว
คุณแชมป์ ยังเล่าถึงจุดเริ่มต้นของวิสาหกิจชุมชนปลาสลิดเกษตรพัฒนาว่า หนึ่งในปัญหาสำคัญที่เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาสลิดต้องเจอ คือ ระบบการรับซื้อที่ใช้วิธี “สุ่มปลา” แม่ค้าจะตักปลาจากบ่อขึ้นมา 3 ตะกร้า จากนั้นให้เกษตรกรเลือกตะกร้าที่จะใช้ประเมินราคาขาย ซึ่งกลายเป็นการ “วัดดวง” สำหรับเกษตรกรไปโดยปริยาย
ถ้าปลาส่วนใหญ่ในบ่อเป็นไซต์เล็ก แต่ตะกร้าที่เลือกมีปลาไซต์ใหญ่ เกษตรกรก็ถือว่าโชคดี เพราะราคาที่ได้จะสูงขึ้น แต่ในทางกลับกัน หากบ่อเต็มไปด้วยปลาไซต์ใหญ่ แต่ตะกร้าที่สุ่มมาเป็นไซต์เล็ก ผลลัพธ์ คือราคาต่ำลงทันที แม้จะไม่ได้สะท้อนคุณภาพและปริมาณจริงในบ่อก็ตาม กรณีเช่นนี้ทำให้บางครั้งเกษตรกรต้องเผชิญกับการขาดทุน
ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดแนวคิดในการปรับเปลี่ยนระบบ โดยหันมาทำ วิสาหกิจชุมชน เพื่อช่วยเกษตรกรเลี้ยงปลาสลิดอย่างยั่งยืน แนวคิดนี้ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงจากการสุ่มปลา แต่ยังสร้างมาตรฐานที่ยุติธรรมให้กับทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพและเพิ่มมูลค่าให้กับปลาสลิดในตลาดได้อย่างยั่งยืน
ที่วิสาหกิจชุมชนของเรา ได้ออกแบบระบบรับซื้อปลาสลิดที่ให้ราคาคงที่และเป็นกลาง เพื่อช่วยลดความกดดันและความเสี่ยงให้กับเกษตรกร ตัวอย่างเช่น หากเกษตรกรเลี้ยงปลาสลิดจนได้ขนาดเฉลี่ย 4 ตัวต่อกิโลกรัม จะรับซื้อที่ราคากิโลกรัมละ 95 บาท ตลอดทั้งปี โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงราคาขึ้นหรือลง
แนวทางนี้ช่วยให้เกษตรกรสามารถวางแผนการเลี้ยงและจัดการต้นทุนได้ง่ายขึ้น เพียงแค่เลี้ยงปลาให้ได้ตามมาตรฐาน ก็จะมั่นใจได้ว่าปลาทั้งบ่อจะขายได้ในราคาที่เหมาะสมและคงที่ ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางรายได้และความยั่งยืนในอาชีพเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาสลิด
เราเคยคิดและวางแผนว่าในอนาคตจะพัฒนาและผลิตอาหารปลาสลิดเอง เพื่อลดต้นทุนการเลี้ยงที่สูงในปัจจุบัน ขณะนี้เรากำลังศึกษากับมหาวิทยาลัยเพื่อค้นหาและศึกษาสูตรอาหารที่เหมาะสม สามารถนำมาปรับใช้และพัฒนาให้เข้ากับการเลี้ยงของเรา เครื่องมือสำหรับการผลิตอาหารมีพร้อมแล้ว สิ่งที่เหลือคือการพัฒนาสูตรที่ช่วยลดต้นทุนอาหารสัตว์ จากราคากระสอบละ 690 บาท ให้เหลือประมาณ 500 บาท หากทำได้สำเร็จ จะช่วยลดต้นทุนการเลี้ยงปลาสลิดลงได้อย่างมาก และยังส่งผลให้มีกำไรเพิ่มขึ้น
แนวทางการพัฒนา เพิ่มมูลค่าด้วยการแปรรูปและมาตรฐาน
1. โรงเรือนและมาตรฐานการผลิต
การสร้างโรงเรือนผลิตที่ได้มาตรฐาน เช่น GAP , GMP และ HACCP ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ปลาสลิดสามารถส่งออกสู่ตลาดที่มีศักยภาพสูงขึ้น
2. การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า
จากราคาปลาสลิดดิบที่ขายได้เพียง 80-95 บาทต่อกิโลกรัม การแปรรูปทำให้เพิ่มมูลค่าถึง 150-300 บาท เช่น การทำปลาสลิดแดดเดียวหรือปลาสลิดอบเกลือ
3. การตลาดออนไลน์และออฟไลน์
การโปรโมทสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ การออกบูธ และการประกวดสินค้าช่วยสร้างการรับรู้ในตลาด นำไปสู่การเพิ่มยอดขายและการส่งออก
4. การจัดการน้ำและการเลี้ยงที่ยั่งยืน
น้ำที่สะอาดและการใช้จุลินทรีย์ในบ่อเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปลาสลิดเติบโตดีและปราศจากกลิ่นโคลน ช่วยเพิ่มคุณภาพและความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
การที่เกษตรกรจะยกระดับการเลี้ยงปลาสลิดให้ยั่งยืน จำเป็นต้องมีมาตรฐาน เช่น การขอใบรับรอง GAP และการจดทะเบียนผู้เลี้ยง สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เกษตรกรได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และยังช่วยเพิ่มโอกาสในการส่งออกได้อีกด้วย
บทเรียนจากรุ่นพ่อ สู่ความสำเร็จของรุ่นลูก
หลายคนอาจมองว่าการแปรรูปปลาสลิดเป็นเรื่องง่าย แต่การขายกลับเป็นเรื่องยาก เพราะต้องแข่งขันกับแม่ค้ารายอื่นๆ อย่างหนัก แต่ถ้าเราสามารถหาจุดเด่นของตัวเองได้ ก็สามารถสร้างตลาดและขายได้สำเร็จ จุดแข็งของเราคือการเลี้ยงปลาสลิดเอง แปรรูปเอง และจำหน่ายเองทั้งหมด โดยยึดมาตรฐานในทุกขั้นตอน ทั้งการเลี้ยงในฟาร์มที่ได้มาตรฐาน และการแปรรูปในโรงผลิตที่ผ่านการรับรอง
แม้จะเจออุปสรรคในทุกขั้นตอน แต่เราค่อยๆ พัฒนาและเดินหน้ามาจนถึงวันนี้ ถ้าถามว่าสำเร็จแล้วหรือยัง คงยังไม่ถึงจุดนั้น แต่สิ่งที่ทำอยู่ถือเป็นก้าวเล็กๆ ที่เริ่มเห็นทิศทางที่ชัดเจนของการเลี้ยงปลาสลิด เรามุ่งหวังที่จะช่วยเกษตรกรให้พัฒนามาตรฐานการเลี้ยง และสร้างโอกาสในการส่งออก รวมถึงมีทางเลือกที่ยั่งยืนสำหรับตัวเอง
ถึงช่วงแรกคุณพ่อจะไม่เห็นด้วยกับแนวทางใหม่ๆ ของคุณยุ้ย แต่เมื่อเริ่มแสดงให้เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เริ่มจากการทำโรงเรือนแปรรูป การตลาดออนไลน์ การเข้าประกวดแข่งขัน คุณพ่อก็ให้การยอมรับและสนับสนุนมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการช่วยให้ชาวบ้านแพ้ว ตำบลเกษตรพัฒนา กลายเป็นที่รู้จักในฐานะ “แหล่งปลาสลิดคุณภาพ” ของประเทศ
สำหรับผู้ที่สนใจเลี้ยงปลาสลิด คุณพ่อและคุณยุ้ยแนะนำว่า “น้ำคือหัวใจ” หากน้ำในพื้นที่สะอาดและอุดมสมบูรณ์ ปลาสลิดก็จะเติบโตได้ดี นอกจากนี้ การทำระบบมาตรฐานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำจะช่วยให้เกษตรกรมีโอกาสขยายตลาดและเพิ่มมูลค่าผลผลิตได้มากขึ้น
หากท่านไหนสนใจและอยากสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการเลี้ยง การแปรรูปปลาสลิด สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : ปลาสลิดเกษตรพัฒนา หรือเบอร์โทร.ติดต่อ : 087-976-5731