ค้นหา

ความเข้าใจผิดในการใช้ “สารเคมี” ของเกษตรกร…ที่แก้ผิดจุดและยิ่งใช้ยิ่งไม่ได้ผล!

ภาควิชาอารักขาพืช มหาวิทยาลัยแม่โจ้
เข้าชม 700 ครั้ง

ความปลอดภัยของผู้บริโภคขึ้นอยู่กับเกษตรกร ซึ่งถือว่าเป็นต้นน้ำแห่งความปลอดภัย เกษตรกรจะต้องมีจรรยาบรรณในการใช้สารเคมี จะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้อย่างเคร่งครัดคือ ปฏิบัติตามฉลากที่ติดไว้บนภาชนะบรรจุ เมื่อพ่นสารไปแล้วจะต้องทิ้งช่วงระยะเวลาก่อนการเก็บเกี่ยวตามที่แนะนำในฉลาก ผู้บริโภคก็จะปลอดภัยในอันดับแรก

ผศ.ขยัน สุวรรณ ภาควิชาอารักขาพืช อดีตหัวหน้าโครงการคลินิกพืช มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ให้คำแนะนำกับเกษตรกรก่อนจะตัดสินใจพ่นสารกําจัดแมลงว่า ขอให้มีการสํารวจตรวจสอบก่อนว่ามีแมลงอะไรมากน้อยแค่ไหน อย่างไร

เพราะส่วนใหญ่ยังคงใช้วิธีเดิมๆ คือ พ่นสารเคมีตามตารางที่กําหนดไว้ เช่น ทุก 2-3 วัน หรือทุกๆ 5-7 วัน ทั้งๆ ที่ไม่มีความจําเป็นต้องทําอย่างนั้นเลย เพราะไม่มีแมลงหรือมีก็ไม่มากพอที่จะทําความเสียหายได้มากมาย สําหรับแมลงตัวเล็กๆ เกษตรกรควรมีอุปกรณ์ช่วยคือ แว่นขยายแบบมือถือ (hand lens) สําหรับเอาไว้สํารวจดูแมลงตัวเล็กๆ เช่น เพลี้ยไฟ

เพลี้ยไฟพริกในมะม่วง

การใช้สารกําจัดแมลงของเกษตรกรในปัจจุบัน นับว่าน่าเป็นห่วงมากกว่าเดิม เพราะจากกระแสของการปลูกพืชแบบเกษตรอินทรีย์ ไม่มีการฉีดพ่นสารกําจัดแมลงนั้น กลายเป็นดาบสองคม เพราะนักวิชาการที่เกี่ยวข้องอาจปล่อยปละละเลยความรู้เรื่องสารเคมีและวิธีการใช้ที่ถูกต้อง

ในขณะที่ตัวเกษตรกรยังมีความจําเป็นต้องใช้ โดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาดรุนแรงก็เลยมีการใช้แบบผิดๆ ใช้แบบคิดเองทําเอง เกิดปัญหาตามมามากมาย โดยขาดการให้คําปรึกษาแนะนําจากนักวิชาการที่ถูกต้องก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง

ทีมงานโครงการคลินิกพืชแม่โจ้ ได้พบเกษตรกรคนหนึ่งกําลังฉีดพ่นสารกําจัดแมลงในแปลงถั่วเหลืองที่มีสภาพการเจริญเติบโตดีมาก สังเกตจากสีเขียวขจีเป็นผืนพรม ทีมงานจึงสํารวจพบว่า มีแมลงศัตรูพืชเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่พบศัตรูธรรมชาติเป็นจํานวนมาก อาทิ ด้วง เต่าหลายชนิด ตั๊กแตนตําข้าวและแมลงที่ไม่สําคัญอะไรมากมาย

เมื่อถามเกษตรกรผู้นั้นว่า ทําไมต้องพ่นสารกําจัดแมลง เขาบอกว่า มีแมลงพวกนี้มากมาย ต้องรีบฉีดพ่นสารกําจัดแมลงเสียก่อนที่จะกัดกินถั่วเหลืองเสียหาย เราจึงให้ความรู้ว่าแมลงเหล่านั้นไม่ใช่ศัตรูพืช หากแต่เป็นศัตรูธรรมชาติที่คอยควบคุมทําลายแมลงศัตรูพืชจึงถือว่าเป็นแมลงที่มีประโยชน์ เมื่อเขาได้ทราบแล้ว เกษตรกรผู้นี้รีบวางถังพ่นสารกําจัดแมลงลง แล้วบอกว่าผมเพิ่งรู้และจะไม่พ่นอีกแล้ว”

ปัญหาของพืชหลายชนิดไม่ใช่แมลง ไม่ใช่โรคพืชแต่กลับเป็นวัชพืช

อย่างเช่น กรณีแปลงถั่วเหลืองของเกษตรกร ซึ่งโดยทั่วไปพบว่า วัชพืชเป็นปัญหาใหญ่ที่ทําให้ผลผลิตลดลงมากกว่า 50% ฉะนั้น บางครั้งถ้าไม่จําเป็นเกษตรกรก็ไม่จําเป็นต้องฉีดพ่นสารกําจัดโรคและแมลงหรืออย่างน้อยที่สุดก็น่าจะต้องมีการสุ่มสํารวจก่อนตัดสินใจฉีดพ่นสารกําจัดแมลง

อีกกรณีหนึ่งคือ ทีมงานฯ ได้พบเห็นเกษตรกรผู้ปลูกมะระจีน แถวอําเภอแม่ริม กําลังฉีดพ่นสารฆ่าแมลงจนใบโชกไปด้วยน้ำยาและหยดติ๋งๆ เหมือนการอาบน้ำพืชหวังกําจัดแมลงศัตรูเป้าหมายคือ เพลี้ยจักจั่นที่ดูดน้ำเลี้ยงบริเวณใบ แต่กลับไม่ได้ผล เพราะยังพบแมลงเรื่อยๆ ถึงแม้จะฉีดพ่นบ่อยๆ ทั้งที่เขาใช้สารเคมีที่สมาคมกีฏวิทยาและสัตววิทยาแนะนําให้ใช้กับแมลงชนิดนี้ (ฟิโพรนิล fipronil)

ผศ.ขยัน จึงแนะนําว่า การพ่นสารเคมีจนใบพืชเปียกโชกจนน้ำยาไหลบ่า (Runoff) หยดติ๋งๆ นั้น เป็นวิธีการที่ผิด เพราะโอกาสที่น้ำยาจะซึมซาบ (penetration) เข้าสู่ใบพืชหรือเคลือบใบพืชนั้นมีน้อยมาก โดยที่น้ำยาจะไหลมารวมกันที่ปลายใบและหยดลงสู่พื้นดินหมด ดังนั้น จึงควรฉีดพ่นน้ำยาให้เป็นละอองฝอย เคลือบใบพืชแต่เพียงเบาบางเท่านั้น อย่าให้หยดติ๋งๆ ลงดิน

นอกจากนี้ เพื่อให้เพิ่มขีดความสามารถในการซึมซาบและเคลือบใบพืช ให้ใช้หัวฉีดชนิดที่ใช้พ่นกําจัดแมลง (แบบกรวย) ที่มีข้องอและพลิกข้อมือไปมาระหว่างฉีดพ่นเพื่อให้ละอองสาร (droplet) กระจายเข้าสู่ทรงพุ่มของพืชได้ดี เพราะแมลงปากดูดทั้งหลายมักชอบหลบอาศัยอยู่ตามใต้ใบพืชเสียมากกว่า ด้วยเหตุผลทางสรีระของพืชและสภาวะแวดล้อมอื่นๆ ซึ่งเมื่อได้ปฏิบัติตามคําแนะนําก็พบว่าได้ผลดีขึ้นจริง

ผศ.ขยัน เล่าให้ฟังว่า ได้ทดลองปลูกผักสวนครัวไว้รับประทานเองแบบสดๆ ในพื้นที่ประมาณ 6×5 ตารางเมตร มีพืชผักต่างๆ ที่ปลูกคละกันไปแบบผสมผสานมาก กว่า 20 ชนิด ด้วยเหตุผลทางด้านการบริหารจัดการศัตรูพืชที่มีความหลากหลายของชนิดพืชและแมลง อันจะเป็นการเกื้อกูลกันได้อย่างลงตัว ลดปัญหาการเข้าทําลายของศัตรูพืช มีทั้งแตงร้าน มะเขือเปราะ มะเขือเจ้าพระยา มะเขือขาวแม่โจ้ พริก ผักชีฝรั่ง ผักชี มะเขือเทศ ชะพลู พืชสมุนไพรที่รับประทานได้ ผักไผ่ ใบบัวบก ผักกาด กวางตุ้ง ผักฮ่องเต้ คะน้า กะเพรา โหระพา ขึ้นฉ่ายและอื่นๆ สารพัด เก็บรับประทานได้ทั้งปี

พืชชนิดไหนควรห่อก็ต้องห่อ ชนิดไหนควรตัดแต่งก็ต้องทํา การคลุมดินด้วยเศษหญ้าแห้ง ใบจามจุรีหรือฟางข้าว เป็นสิ่งสําคัญพอๆ กับการใส่ปุ๋ยคอก ผสมผสานไปกับปุ๋ยเคมีเมื่อจําเป็น (บางครั้งสารเคมีก็มีความจําเป็นแต่ต้องใช้เมื่อจําเป็นจริงๆ และใช้อย่างถูกต้องอย่างระมัดระวัง)

ยกตัวอย่าง ในสวนครัวจะพบมดคันไฟตัวเล็กๆ เป็นจํานวนมาก โดยเฉพาะในพื้นดินและตามต้นพืช เช่น ต้นพริก มะเขือ เมื่อพบมดก็จะพบแมลงศัตรูพวกเพลี้ยแป้งมากมาย เพราะมดจะเป็นตัวทําให้พวกเพลี้ยแป้งแพร่กระจายได้ดี การใช้สารเคมีที่ปลอดภัยสูง เช่น คาร์บาริลผสมน้ําในบัวรดน้ำแล้วราดลงดินก็ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ดี

พืชพวกมะเขือมักมีปัญหาเรื่องแมลงปากดูด เช่น เพลี้ยแป้ง เพลี้ยหอย เพลี้ยไฟ ตลอดจนหนอนเจาะผล การตัดแต่งกิ่งก็เป็นเรื่องสําคัญยิ่ง โดยเฉพาะหนอนเจาะผล ให้สังเกตดูอาการยอดเหี่ยว ถ้าพบเห็นก็รีบตัดยอดทิ้งเผาทําลายเสีย

แชร์ :
ที่มาของเนื้อหา : https://www.technologychaoban.com/bullet-news-today/article_186747