สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ได้วิเคราะห์โอกาสการส่งออกไม้ตัดดอกของประเทศไทย พบว่า ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 การส่งออกไม้ตัดดอกของไทยกลับมาเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ “กล้วยไม้” ที่สามารถครองตลาดทั่วโลก แสดงให้เห็นถึงโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยจะสามารถคว้าส่วนแบ่งตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น สอดรับกับความต้องการของตลาดไม้ตัดดอกโลก
โดยข้อมูลจากบริษัทวิจัยการตลาด marketsandmarkets ระบุว่า ตลาดไม้ตัดดอกของโลกเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2565 ตลาดไม้ตัดดอกของโลกมีมูลค่า 36,400 ล้านดอลลาร์ และคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าถึง 45,500 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2570 ซึ่งมีการนำมาใช้มากในธุรกิจบริการ โรงแรมและร้านอาหาร ตลอดจนงานเทศกาลหรือในโอกาสสำคัญต่าง ๆ
โดยในปี 2566 การส่งออกไม้ตัดดอกของโลก มีมูลค่า 10,520 ล้านดอลลาร์ ประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1. เนเธอร์แลนด์ สัดส่วน 46.8 % ของมูลค่าการส่งออกไม้ตัดดอกของโลก
2. โคลอมเบีย 19.8 %
3.เอกวาดอร์ 9.4%
4 .เคนยา 6.3%
5. เอธิโอเปีย 2.2%
ขณะที่ไทยส่งออกเป็นอันดับที่ 12 ของโลก 0.7 % โดยประเทศที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1. สหรัฐอเมริกา สัดส่วน 26.1% ของมูลค่าการนำเข้าไม้ตัดดอกของโลก
2. เยอรมนี 13 %
3 .เนเธอร์แลนด์ 11.3 %
4. สหราชอาณาจักร 7.7 %
5 . ฝรั่งเศส 3.9 %
โดยชนิดของไม้ตัดดอกที่เป็นที่นิยมมากที่สุด ได้แก่ กุหลาบ เบญจมาศ คาร์เนชั่น ลิลลี่ และกล้วยไม้ ตามลำดับ (ข้อมูลจาก Trademap.org)

สำหรับการค้าไม้ตัดดอกของไทย ในปี 2566 ไทยมีมูลค่าการส่งออกกล้วยไม้เป็นอันดับที่ 2 ของโลก มีสัดส่วน 33.4 % ของมูลค่าการส่งออกกล้วยไม้ของโลก รองจากเนเธอร์แลนด์ ที่มีสัดส่วน 37.3 % ขณะที่ปี 2567 ไทยส่งออกไม้ตัดดอก 21,135 ตัน เป็นมูลค่า 71.3 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 2.5 % จากปีก่อนหน้า
โดย”กล้วยไม้ “เป็นสินค้าไม้ตัดดอกที่ไทยส่งออกมากที่สุด มีปริมาณ 19,129 ตัน คิดเป็นมูลค่า 62.1 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 1.4 % จากปีก่อนหน้า ตลาดส่งออกกล้วยไม้ที่สำคัญของไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เวียดนาม ญี่ปุ่น จีน และอิตาลี (ข้อมูลจาก Tradereport.moc.go.th)
สำหรับการผลิตไม้ดอกที่สำคัญของไทย ในปี 2566
– กล้วยไม้ มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 196,226 ไร่ ปริมาณผลผลิต 44,080 ตัน ปลูกมากในจังหวัดนครปฐม สมุทรสาคร และราชบุรี
– บัวหลวง มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 17,360 ไร่ ปริมาณผลผลิต 22,776 ตัน ปลูกมากในจังหวัดนนทบุรี สุพรรณบุรี และอุบลราชธานี
– ดาวเรือง มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 3,722 ไร่ ปริมาณผลผลิต 2,844 ตัน ปลูกมากในจังหวัดบุรีรัมย์ นครราชสีมา และจันทบุรี
– กุหลาบ มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 1,063 ไร่ ปริมาณผลผลิต 861 ตัน ปลูกมากในจังหวัดตาก เชียงใหม่ และเชียงราย

“พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ “ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า สนค. กล่าวว่า จากข้อมูลการส่งออกไม้ตัดดอกของประเทศ ชี้ให้เห็นว่า มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นถึงโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยจะสามารถคว้าส่วนแบ่งตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามทางเพื่อเป็นการส่งเสริมการค้าไม้ตัดดอกและกล้วยไม้ของไทย สนค. เห็นว่าควรสนับสนุนผู้ประกอบการให้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาพันธุ์ใหม่และการจัดการโลจิสติกส์ที่ควบคุมคุณภาพการขนส่งตลอดห่วงโซ่อุปทาน
นอกจากนี้ ควรผลักดันการสร้างชื่อเสียงและความต้องการใช้ดอกไม้ไทยให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก ได้แก่ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรสวนดอกไม้สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตลอดจนการใช้ดอกไม้ไทยในเทศกาลหรือกิจกรรมสำคัญระดับประเทศและโลก เพื่อสร้างโอกาสการส่งออกไม้ตัดดอกของไทย สร้างรายได้ให้เกษตรกรและนำรายได้เข้าประเทศเพิ่มมากขึ้น